logo-heading

แน่นอนมันคือชัยชนะแดงเดือดครั้งที่ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นการแพ้ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วย เพราะฉะนั้น ขอบสนาม ของเราไม่มีทางพลาด ขอพามาเก็บตกกันให้ได้แทบทุกประเด็นสำคัญจากเกมดังกล่าว ทั้งสรุปรูปเกมแบบไวๆ, จุดที่ต้องพูดถึงทั้งของฝั่ง ลิเวอร์พูล และปีศาจแดง พร้อมเก็บตกสถิติที่โคตรจะเยอะจากเกมนี้

สรุปเกมแบบไวๆ

ครึ่งแรก : ค่อนข้างสูสี 40 นาทีแรก ลิเวอร์พูล ครอบครองบอลมากกว่า หาโอกาสยิงได้มากกว่า แต่กลับเป็นฝั่ง แมนยู ที่มีดูได้มีโอกาสลุ้นแบบเหน่งๆ มากกว่า แต่ไม่คม จนท้ายที่สุดก็มีนักเตะที่คมที่สุดใน 45 นาทีแรก โคดี้ กัคโป ซัดประตูสำคัญให้เจ้าบ้านออกนำในช่วงท้ายครึ่งแรก

ครึ่งหลัง : ไม่ต้องพูดเยอะ จุดเปลี่ยนไม่สิจุดจบ เริ่มตั้งแต่การได้เพิ่มอีก 2 ประตูของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง จนนำมาสู่จุดพอกพูน พวกเขายิงเพิ่มใน 45 นาทีหลัง 6 ประตู แบบที่เกมดีกว่าชัดเจน จบ 90 นาทีด้วยการชัยชนะระดับประวัติศาสตร์ แบบที่ไม่ใครคาดคิดมาก่อน ลิเวอร์พูล ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0 

สิ่งที่ต้องพูดถึงของฝั่ง ลิเวอร์พูล

มาเริ่มพูดจากฝั่งผู้ชนะและเจ้าบ้านกันก่อน มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น

3 ประสานเจนใหม่ได้กำเนิดขึ้น : หลังการจากไปของ ซาดิโอ มาเน่ เหมือน ลิเวอร์พูล จะยังไม่เจอ 3 ประสานใหม่ที่ลงตัวสักที จนกระทั่งทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โคดี้ กัคโป และ ดาร์วิน นูนเญซ ได้เล่นด้วยกัน และประสานงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ

จากที่เคยฝืดๆ กลายเป็น 5 นัดหลังสุดในลีก นูนเญซ ทำไป 3 ประตู 1 แอสซิสต์, กัคโป 4 ประตู และ ซาลาห์ 4 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ โดยเฉพาะเกมล่าสุดทั้งสามยิงไปคนละ 2 ประตู จนกลายเป็นครั้งแรกในรอบ 115 ปีที่ แมน.ยูไนเต็ด โดนผู้เล่น ลิเวอร์พูล 3 คนยิงคนละ 2 ประตูใส่ในเกมเดียว ภาษาอังกฤษเรียก ทริปเปิ้ล-ดับเบิ้ล

ซาลาห์ หนึ่งในดาวยิงดีสุดสโมสร : และ โม ซาลาห์ ยังประกาศศักดา เป็นหนึ่งในดาวยิงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูล ด้วยการทำลายสถิติดาวซัลโวตลอดกาลของทีมในพรีเมียร์ลีก หลังซัดไปแล้ว 129 ประตู แซงเจ้าของสถิติเก่าอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ไปเรียบร้อย

แดงเดือดสุดท้ายของ ฟีร์มิโน่ : ถือเป็นการปิดฉากเกมดาร์บี้คู่อริตลอดกาลที่สวยงามของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หลังเขาลงมาสำรอง ยิงลูกสุดท้าย 7-0 สร้างตัวเลขประวัติศาสตร์ให้กับเกมนี้ ก่อนที่สิ้นฤดูกาลเขาจะจากสโมสรไปในฐานะตำนานของทีม

ขอชม คล็อปป์ หน่อย : หนึ่งในเรื่องที่กล้าหาญและสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับ แฟนลิเวอร์พูล ก่อนเกม คือ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลือกดร็อป สเตฟาน บายเซติช กองกลางที่ฟอร์มดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในช่วงหลังเป็นสำรอง และเลือกส่ง ฮาร์วี่ย์ เอลเลี่ยตต์ ลงไปเล่นกับ ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

นอกจากผลลัพธ์คือเล่นดีและชนะแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่า เมื่อ ฟาบินโญ่-เฮนโด้ และ เอลเลียตต์ ออกสตาร์ทพร้อมกันในฤดูกาลนี้ 4 นัด ลิเวอร์พูล ชนะหมด นี่คือจุดที่ คล็อปป์ มองเห็น

และกองกลาง 3 คนนี้ น่าจะเป็นชุดที่ คล็อปป์ เลือกใช้ลงสนามเป็นหลักในช่วงที่ ติอาโก้ อัลคันทาร่า ยังไม่พร้อมกลับมา ส่วน บายเซติช ยังไงก็ได้รับโอกาสเรื่อยๆ อยู่แล้วแน่นอน

ส่วนแผงแบ็คโฟร์วันนี้ เทรนต์, โคนาเต้, ฟาน ไดค์, โคนาเต้ คือฟูลทีม 2 นัดหลังสุดที่ อิบราฮิม่า โคนาเต้ กลับมา ลิเวอร์พูล ชนะรวด ไม่เสียประตู ขอแค่ ฟาน ไดค์, โคนาเต้ ไม่เจ็บไม่ไข้อีก เกมรับ ลิเวอร์พูล น่าจะกลับมาพอไว้ใจได้อีกครั้ง


สิ่งที่ต้องพูดถึงของฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

จุดผิดพลาด : สำหรับเราแล้วหลักๆ ที่มองเห็น คือ ยูไนเต็ด ไม่คมเมื่อมีโอกาส โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรก และช่วงที่ยังตามหลังอยู่ 3 ลูก และอีกจุดคือพวกเขาใช้ประโยชน์จาก มาร์คัส แรชฟอร์ด และการโจมตีในจุดของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ น้อยไป ส่วนหลังจากนั้นพอโดนเพิ่มเม็ดที่ 4 ที่ 5 แล้วท่าทีผู้เล่นดูเหมือนจะปล่อยจอย ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เช่นกัน

การที่ทีมที่ฟอร์มมาดีๆ สะดุดแพ้อาจเป็นเรื่องปกติ แต่การแพ้ 7-0 เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่ง เอริค เทน ฮาก ก็คิดแบบนั้นเช่นกัน โดยโค้ชชาวดัตช์ พูดไว้หลังจบเกมว่า:

“คุณสามารถแพ้เกมได้ แต่ไม่ใช่แบบนี้ นอกจากนี้ ครึ่งหลังยัง...ไม่เป็นมืออาชีพ นี่ไม่ใช่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”

เทน ฮาก ยังกล่าวอีกว่า

“ผมประหลาดใจนะ เพราะที่ผมได้เห็นเมื่อสัปดาห์และเดือนที่ผ่านมา ทีมนี้มีความยืดหยุ่น มีทัศนคติกระหายชัยชนะ แต่ครึ่งหลังเราไม่มีท่าทีว่าจะชนะเลย เราไม่ยึดติดอยู่กับแผน เราไม่ได้ทำตามหน้าที่ของเรา และใช่ ผมกำลังโกรธ อย่างแน่นอน”

และเกมแห่งฝันร้ายนี้ ไม่ได้หลอกหลอนแค่แฟนๆ แต่นักเตะ แมน.ยูไนเต็ด ก็ยังต้องเผชิญกับมันเช่นกัน ตามที่ ลุค ชอว์ ได้กล่าวไว้หลังจบเกม:

“มันยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ ผมคิดว่าเราไม่ได้ใกล้เคียงมาตรฐานที่เราเคยอยู่เลย ผมรู้สึกอายแทนแฟนๆ และคนที่รับชมเราอยู่ ผมทำได้แค่เพียง ขอโทษ”

“และการดูเทปย้อนหลังเกมนี้ จะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ เทน ฮาก จะให้เราดูมันย้อนหลัง และแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้จากความอับอายนี้”


เก็บตกสถิติเพิ่มเติม

ด้วยสกอร์ระดับประวัติศาสตร์แบบนี้ แน่นอนยังมีอีกหลายสถิติที่เราต้องพูดถึงดังนี้

การแพ้ 7-0 ถือเป็นการแพ้ที่ย่อยยับที่สุดในอาชีพโค้ชของ เอริค เทน ฮาก หลังคุมมาแล้ว 481 เกม
การแพ้ 7-0 ถือเป็นการแพ้ที่ย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร แมนยู ด้วย หลังจากพวกเขาเคยแพ้ด้วยสกอร์นี้มาแล้ว 3 ครั้ง แต่ครั้งก่อนหน้านี้ต้องย้อนไปเมื่อปี 1931 โน่นเลย
แมนยู ออกไปเยือนทีมบิ๊กซิกพรีเมียร์ลีกในเกมลีกฤดูกาลนี้ 4 นัดยังไม่ชนะใคร นั่นเป็นจุดที่พวกเขาต้องปรับปรุง

8 นัดหลังสุดที่เจอกันในแอนฟิลด์ คิดเป็นสกอร์รวม คือ ลิเวอร์พูล 18 ต่อ 1 แมนยู 
และ ลิเวอร์พูล ไร้พ่ายเกมลีกในแอนฟิลด์ต่อ แมน.ยูไนเต็ด ทั้ง 7 นัดหลังสุด หรือนับตั้งแต่ปี 2016
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นผู้เล่น ลิเวอร์พูล คนแรกที่ยิงใส่ แมนยู 5 เกมติดต่อกัน


อนาคตทั้ง 2 ทีมต่อจากนี้

ลิเวอร์พูล : แน่นอนชัยชนะต่อหนึ่งในทีมที่ฟอร์มดีสุดในยุโรปหลังจบบอลโลกแบบ 7-0 เป็นเรื่องที่โคตรดี ทั้งพวกเขาและแฟนบอลย่อมหวังให้มันกลายเป็นโมเมนตั้ม หรือจุดเปลี่ยนให้ทีมกลับมาแกร่ง แบบที่ แมนยู เคยชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ในนัดแรกของฤดูกาล และกลายเป็นจุดเปลี่ยนฟอร์ม

โดยโปรแกรมของ ลิเวอร์พูล ก่อนเบรคทีมชาติครั้งต่อไปมี 2 นัด คือไปเยือน บอร์นมัธ และเยือน เรอัล มาดริด ใน UCL เลกสอง ขอแค่พวกเขาชนะ บอร์นมัธ และให้ดีคือไม่แพ้หรือชนะ มาดริด แล้วรอตัวเจ็บอย่าง ติอาโก้ และ หลุยส์ ดิอาซ กลับมา นับว่าดูมีทิศทางที่ดีเลยสำหรับ หงส์แดง

ส่วน แมนยู : แน่นอนแพ้หนึ่งนัดอาจไม่เป็นไร แต่การแพ้ 7-0 และแพ้คู่อริตลอดกาลแบบนี้ ย่อมส่งผลต่อสภาพจิตใจ และความมั่นใจที่เคยมีมา พวกเขาต้องพยายามลืมเรื่องนี้ และนำมาปรับเป็นบทเรียนให้เร็วที่สุด ถือเป็นอีกบททดสอบของ เอริค เทน ฮาก หลังจากผ่านฉลุยหรือทำได้ดีมาแล้วหลายข้อในฤดูกาลนี้หรือฤดูกาลแรกกับทีม

่ส่วนโปรแกรมของ แมนยู ถัดไปคือยังดีที่พวกเขาจะได้กลับมาเล่นในบ้าน แต่ก็เป็นศึกสำคัญเปิดบ้านรับ เรอัล เบติส ในศึก ยูโรปา ลีก รอบ 16 ทีม พวกเขาต้องเรียกคืนสติกลับมาให้โดยเร็วที่สุด ก่อนจากนั้นจะเปิดบ้านเจอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในพรีเมียร์ลีก, เจอ เบติส ใน ยูโรปา นัดสอง และเปิดบ้านรับ ฟูแล่ม ใน เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีม หากเก็บชัยรวดๆ ทีมก็จะกลับมาได้ แต่หากสะดุด ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอย่างแน่นอน


และทิ้งท้ายที่สุดคงไม่พ้นนี่แหละคำว่า เกมฟุตบอล ทีมที่ดูเป็นต่อก่อนเกม กลับแพ้ถึง 7-0 ทีมที่เพิ่งคว้าแชมป์มาเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่กลับดูเหมือนเวลามันผ่านไปนานซะแล้ว ทีมที่ลุ่มๆ ดอนๆ แต่กลับสามารถสร้างสถิติชนะทีมที่ฟอร์มดีที่สุดทีมหนึ่ง ด้วยสกอร์ในระดับประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ คำว่าสุดสัส ก็คงน้อยไปครับ.

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline