logo-heading

เมื่อยิงประตูเขาไม่ได้...ก็จงแพ้ไปเถอะ

ในวันที่ 2 กันยายน 2023 เกม พรีเมียร์ลีก หลายสนามต่างก็ยิงประตูกันมันส์แบบถล่มทลาย แมนฯ ซิตี้ แชมป์เก่าเล่นจัดหนักไล่ยำใหญ่ ฟูแล่ม ไปยับเยิน 5-1 ทาง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เองก็ได้ผลการแข่งขันที่สวยหรูจากการบุกไปถลุงน้องใหม่ เบิร์นลี่ย์ ถึง 5-2

แต่ในค่ำคืนนั้นสโมสรอย่าง เชลซี ที่ใช้เงินเสริมทัพไปแล้วเกินกว่า 1 พันล้านปอนด์กลับเป็นเพียงแค่ทีมเดียวที่ไม่สามารถส่งบอลเข้าซุกก้นตาข่ายได้ แถมยังโดนยัดเยียดความปราชัยคารัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยน้ำมือของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ อีกต่างหาก

ถ้าไปย้อนดูสถิติต่างๆ ภายในเกมนี้ เชลซี มีเปอร์เซนต์การครองบอลสูงถึง 75.9 เปอร์เซนต์ ฟอเรสต์ 24.1 เปอร์เซนต์ ผ่านบอลสำเร็จมากถึง 88.4 เปอร์เซนต์ ฟอเรสต์ 62.7 เปอร์เซนต์ ได้เตะมุมอยู่ฝ่ายเดียวที่ 8 ครั้ง และมีโอกาสยิงมากถึง 21 ครั้งซึ่งมากกว่าเป็น 3 เท่าของทาง ฟอเรสต์

แต่กลับกลายเป็นว่าพลพรรค "สิงโตน้ำเงินคราม" มีโอกาสยิงตรงกรอบแค่ 2 ครั้งเท่านั้นตลอดทั้งเกมซึ่งน้อยกว่า น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่ทำได้ 3 ครั้งทั้งที่มีโอกาสน้อยกว่าถึง 14 ครั้ง

แน่นอนปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ เชลซี ในเกมนี้คือความแม่นยำและความเฉียบคมในการปิดสกอร์ รวมไปถึงความแม่นยำในจังหวะสุดท้ายยามอยู่ในพื้นที่อันตรายของคู่แข่ง

จริงๆ เชลซี เปิดเกมมาได้ไม่เลวเลยมีหลายจังหวะวูบวาบและเข้าใกล้ต่อการลุ้นเปิดซิงประตูขึ้นนำโดยเฉพาะในช่วง 20 นาทีแรก แนวริมเส้นทั้งซ้ายทั้งขวาต่างสร้างความปั่นป่วนและความหนักใจให้กับ ฟอเรสต์ แบบสุดๆ  แต่ก็อย่างที่ว่าไปปัญหามันอยู่ที่ความเด็ดขาดจริงๆ 

ลูกปาดยัดเข้าในจากซ้ายของ เบน ชิลเวลล์ ให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง รอซัดจ่อๆ ในระยะเผาขน 90 เปอร์เซนต์มันก็ควรเป็นประตูอย่างยิ่ง แต่จังหวะนั้นก็ต้องชม โอลา ไอน่า ซึ่งก็เป็นเด็กเก่าของ เชลซี ที่ตัดสินได้ดีทีเดียวทั้งที่เป็นจังหวะที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากๆ 

ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ยังคงเล่นได้โดดเด่น การประสานงานกับ มาโล กุสโต้ ค่อนข้างลงตัวและป้อนโอกาสสวยๆ ให้เพื่อนได้จบหลายๆ ครั้ง โดยในนาที 20 ช็อตที่ปาดเนาะๆ ให้ เบน ชิลเวลล์ เข้าชาร์จจ่อๆ เท้าก็ไปสะกิดบอลบางเกินไปเยอะจนน่าเสียดาย

สกอร์มันควรจะเป็น 2-0 อย่างน้อยตั้งแต่ครึ่งแรกถ้าดูจากรูปเกมและสถิติต่างๆ อย่างไรก็ตามเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นกีฬาฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เมื่อคุณไม่สามารถกุมความได้เปรียบจากโอกาสที่มีสุดท้ายก็เป็นฝ่ายโดนเสียเอง

สถานการณ์ของ เชลซี ตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเก่าเมื่อเสียบอลเองตรงกลางสนามก่อนจะไปเข้าทาง ไตโว อโวนิยี่ และจ่ายบอลลอดหว่างขาจอมเก๋าอย่าง ติอาโก้ ซิลวา ให้ แอนโธนี่ เอลันก้า หลุดเข้าไปยิงเน้นๆ แบบเล่นทางไม่พลาดและเป็นประตูบุกขึ้นนำของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งนั่นแหละคือจุดเปลี่ยนของเกม

และนั่นคงเป็นจังหวะที่เหล่ากองเชียร์ ลิเวอร์พูล รู้สึกสะใจสุดๆ เพราะจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดนั้นมันมาจากพ่อนักเตะเจ้าของสถิติค่าตัวแพงที่สุดของเกาะอังกฤษอย่าง มอยเซส ไกเซโด้ ที่ดันทะลึ่งจับบอลลั่นจนนำหายนะมาสู่ทีมนั่นเอง

หลายๆ สิ่งกลายเป็นเข้าทางฝั่ง ฟอเรสต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลสกอร์และเล่นได้สบายและกดดันน้อยลง ยิ่ง เชลซี เล่นบอลมิติเดิมๆ อาศัยการสร้างโอกาสจากแนวริมเส้นเป็นหลักและเน้นปาดเข้าในก็กลายเป็นว่าโดนจับทางได้

ยิ่งเรื่องของน้ำหนักและทิศทางบอลที่ไร้ความแม่นยำ ขาดๆ เกินๆ ซึ่งเดิมทีก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว พอเวลายิ่งนับถอยหลังลงเรื่อยๆ ประสิทธิภาพความน่ากลัวตรงนี้ลดลงตามไปด้วย และสิ่งที่เดียวที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือความอึดอัดและความกดดันของฝั่งเจ้าถิ่น

ผู้เล่นหลายๆ คนเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานอันนี้ต้องยอมรับโดยเฉพาะในจังหวะสุดท้าย อย่าง นิโคลัส แจ็คสัน การเอาตัวรอดจากการโดนรุมประกบถือว่าทำได้ดี แต่ก็ไม่ได้สุดเท่าไหร่ ย้อนกลับไปครึ่งแรกช็อตที่ สเตอร์ลิ่ง แทงทะลุช่องให้ก็ดันจับบอลวืด ถ้าชัวร์ๆ หน่อยช็อตนั้นก็เป็นอีกจังหวะที่น่าลุ้นประตูได้เลย

อย่างไรก็ตามช็อตที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดก็น่าจะเป็นช่วงท้ายที่ สเตอร์ลิ่ง เอาตัวรอดหลุดไปสุดเส้นและตวัดมาให้พี่แกได้ชาร์จจ่อๆ ในเส้นกรอบ 6 หลา ใครเห็นก็ว่าเข้า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือลูกบอลมันดันข้ามคานไปแบบหน้าตาเฉย

ถ้า เชลซี เป็นฝ่ายนำอยู่บวกกับรูปเกมที่เหนือกว่าแบบหมดจด ความผิดพลาดในจังหวะนั้นมันก็คงไม่เลวร้ายแบบนี้ เพราะนั่นถือเป็นจังหวะที่ใกล้เคียงสุดๆ แล้วที่ เชลซี จะได้ประตูในเกมนั้น

คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ที่มีบทบาทในการเชื่อมเกมและออกบอลก็มีช็อตจ่ายบอลพลาดให้เห็นอยู่ไม่น้อย เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ที่ถูกดันขึ้นไปเป็นตัวรุกเต็มตัวก็มีโอกาสบวกสกอร์ให้กับตัวเองอยู่บ้างแต่ก็ไร้ความแม่นยำ ส่วน ไกเซโด้ เกมนี้บทบทบาทพอมีและสัมผัสได้ทั้งรุกและรับ แต่การเป็นต้นเหตุจนทีมเสียประตูก็ยิ่งทำให้ภาพจำนั้นย่ำแย่ยิ่งกว่าเก่า

พวกตัวสำรองที่ลงมาก็ไม่ได้ช่วยให้รูปเกมดีขึ้น โคล พัลเมอร์ เรื่องจังหวะยังไม่ค่อยได้ โนนี่ มาดูเอเก้ ก็มีแค่ความเร็วอย่างเดียวสร้างอิมแพ็คอะไรไม่ได้ ส่วน เอียน มาตเซ่น ภาพที่เห็นคือได้บอลละโยนเข้าในอย่างเดียว ปิดท้ายที่ มูดริค ก็ยังถือเป็นเกมที่น่าผิดหวัง เคลื่อนที่ไม่ดีและเปิดบอลน้ำหนักก็ไม่ได้

ท้ายที่สุดกลายเป็นว่า เชลซี ที่เปิดฉากมาเหมือนเป็นราชสีห์ไล่ขย้ำเหยื่อพอมาถึงตอนจบดันกลายเป็นเหมือนแมวที่ดูไม่ได้มีพิษสงใดๆ และความพ่ายแพ้ในครั้งก็กลายเป็นว่า น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ บุกมาเอาชนะที่ สแตมฟอร์ด ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี นี่คือสถิติที่น่าจดจำของพวกเขา แต่ไม่ใช่สำหรับ เชลซี

ฟุตบอล ตัดสินกันที่ผลแพ้ชนะ ต่อให้คุณจะเก่งกว่าหรือเหนือกว่าแค่ไหนก็ตาม แต่ตราบใดที่คุณไม่สามารถส่งลูกบอลซุกก้นตาข่ายได้ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะได้มาซึ่งชัยชนะ
 

HaMu Dos Santos

 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline