logo-heading

จบกันไปแล้วสำหรับเกม พรีเมียร์ลีก คู่ที่แฟนๆ ให้ความสนใจกันมากที่สุดประจำค่ำคืนวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566 และผลก็เป็นทาง ไบร์ทตัน ที่บุกมาจัดหนักใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยสกอร์ 3-1

มีหลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นและน่าพูดถึงในเกมๆ นี้ จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้นไปติดตามพร้อมๆ กันเลยครับ

หลังเกม ! ไบร์ทตัน จัดหนักบุกไล่ทุบ แมนฯ ยู คาหลุม 3-1

ฮอยลุนด์ อดแจ้งเกิด

กองหน้าตัวใหม่ค่าตัว 72 ล้านปอนด์อย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครั้งแรกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าความคาดหวังจากแฟนๆ และสโมสรก็คือการทำประตู แต่มันก็เป็นการประเดิมที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่ 

เขามีโอกาสที่ดีพอที่จะเปิดซิงประตูแรกได้ 2-3 ครั้ง จังหวะแรกก็โหม่งข้ามคานไปตอนที่ทีมได้ลูกฟรีคิก จังหวะที่สองลูกครอสส์ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด แต่เข้าฮอตไม่เข้าเป้า ถ้าช็อตนั้นแม่นๆ หรือนิ่งๆ หน่อยก็น่าจะได้เฮกันไปแล้ว ส่วนจังหวะที่สาม ฮอยลุนด์ ส่งบอลซุกก้นตาข่ายได้ก็จริงแต่สุดท้ายก็โดน VAR ปฏิเสธไป เพราะบอลสุดเส้นที่ปาดเข้ามาจากเพื่อนร่วมทีมมันออกหลังไปแล้วแบบชัดเจนนั่นเอง

ครึ่งแรกอาจจะดูมีส่วนร่วมกับทีมน้อยไปหน่อย ส่วนครึ่งหลังถึงแม้จะมีบทบาทมากขึ้น แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ ก่อนจะโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 64 

ปัญหาในการป้องกัน

หากจะพูดถึงหนึ่งในจุดอ่อนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้ก็คือเรื่องเกมรับ คนที่ดูเป็นบ่อที่สุดนั่นก็คือ วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ ประสิทธิภาพของเขาดูยังไม่ดีพอสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยประตูแรกที่เสีย ลูกครอสส์จากขวาของ ซิมอน เอดินกร้า ควรทำได้ดีกว่านี้ แต่ตัวกลับถลำและปล่อยให้ลูกบอลผ่านไปถึง แดนนี่ เวลเบ็ค เข้าชาร์ตโล่งๆ

ลิซานโดร มาร์ติเนซ เกมนี้ก็ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน การยืนคู่กับ ลินเดเลิฟ ดูเหมือนจะทำให้เขาไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับ ราฟาเอล วาราน ที่ยังเจ็บอยู่ โดยลูกแรกที่เสียก็ถือว่ามีส่วนอยู่เหมือนกัน ที่ไม่สามารถบล็อคลูกเปิดของ เอดินกร้า ได้ แถมประตูของ ปาสกาล กรอสส์ ก็โดนหลอกจนเสียผู้เสียคนอีกต่างหาก

ผู้เล่นอย่าง กาเซมิโร่ ที่มาตรฐานคงเส้นคงวามาตลอดก็ผิดพลาดในเรื่องนี้ เขาอยู่ใกล้กับ แดนนี่ เวลเบ็ค มากที่สุดในช็อตที่เสียประตูแรกแต่กลับได้แต่ยืนมองเฉยๆ เช่นเดียวกับประตูที่สองก็มีส่วนที่ปล่อยให้ ไบร์ทตัน มีพื้นที่มากเกินไป ส่วนทาง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ หลายๆ จังหวะก็ไม่ค่อยวิ่งตามประกบติดคู่แข่งเท่าไหร่

ประตูที่สามจากแผงหลังก็ลงถลำลึกกันไปเสียหมดปล่อย เอาแต่ไปโฟกัสแต่ ทาริค แลมพ์เตย์ กับ คาโอรุ มิโตมะ โดยไม่ได้มองเลยว่าตัวที่สอดขึ้นมาอย่าง เจา เปโดร มีพื้นที่ว่างพอที่จะซัลโวเข้าไปง่ายๆ

ไม่มีผู้เล่น แมนฯ ยูไนเต็ด คนไหนสามาถรับมือกับพวกตัวเร็วๆ พวกแนวรุกและฟูลแบ็กของ ไบร์ทตัน ได้เลย คนที่โดดเด่นที่สุดก็คือแบ็ก 2 ฝั่งอย่าง ดีโอโก้ ดาโลต์ กับ เซร์คิโอ เรกีลอน แต่นั่นก็เป็นในเรื่องการเติมเกมบุก ไม่ใช่เรื่องของการช่วยเกมรับ

ความแม่นยำในจังหวะสุดท้าย

แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสยิงประตูทั้งหมดในเกมนี้ 9 ครั้งและก็มาจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด คนเดียวราวๆ 6-7 ครั้งแล้ว เขาคือผู้เล่นของทีมที่ผลงานโดดเด่นที่สุดในวันนี้และสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ ไบร์ทตัน ได้ดีมากๆ ทว่าโอกาสทั้งหมดนั้นไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูให้กับทีมได้ซึ่งมักยิงไปติดบล็อคเป็นส่วนใหญ่ 

ช็อตที่ดูได้ลุ้นมากที่สุดก็น่าจะเป็นจังหวะที่ยิงแฉลบและบอลพุ่งไปคาน รวมไปถึงช็อตที่กระชากเข้าในแต่งเข้าขวาแล้วซัดเลย นี่คือจังหวะที่พี่แกถนัดมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นลูกเก่งเลย แต่สุดท้ายบอลก็เฉี่ยวหลุดกรอบไปซะงั้น

นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้เพราะบอลจังหวะสุดท้ายนั้นทำได้ไม่ดีจริงๆ ผิดกับ ไบร์ทตัน ที่ปล่อยมาแต่ละหมัดจัดว่าหนักๆ และเน้นๆ ทั้งนั้น พวกเขามีโอกาสยิงมากถึง 10 ครั้งและตรงกรอบไปถึง 8 ครั้ง ขณะที่ ปีศาจแดง นั้นมีแค่ 4 ครั้งเท่านั้น

กัปตันทีมอย่าง บรูโน่ แฟร์นานเดส ก็แทบสร้างอิมแพ็คให้กับทีมไม่ได้เลย ไม่มีการสร้างสรรค์โอกาสดีๆ ให้เห็นเลยสักครั้ง ทางฝั่ง คริสเตียน อีริคเซ่น ที่ค่อนข้างมีบทบาทในช่วงครึ่งแรก พอเจอ ไบร์ทตัน เปิดเกมสู้ก็กลายเป็นเงียบหายจากเกมไปเลย

ไบร์ทตัน โหดจริง

เป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าจดจำสำหรับ ไบร์ทตัน ไม่มีจุดไหนที่ดูเป็นข้อผิดพลาดเลย เกมรับมีระบบระเบียบ ถึงจะโดนนวดอยู่ฝ่ายเดียวในช่วงครึ่งแรก แต่ช่วยเหลือกันได้ดีในหลายๆ จังหวะ การผ่านบอลในแต่ละช็อตไม่ว่าจะง่ายหรือยากก็แทบไม่พลาดกันเลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีเปอร์เซนต์การครองบอลและโอกาสเข้าทำที่ดีกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ชัดเจน

เกมรุกก็สุดแสนจะอันตรายไม่ว่าจะเป็นการเปิดเกมเข้าใส่ หรือการเล่นเกมสวนกลับ โดยเกมนี้ คาโอรุ มิโตมะ อาจไม่ได้เฉิดฉายเหมือนกับเกมอื่นๆ เพราะวันนี้คนที่เล่นเกมรุกได้เด่นที่สุดก็คือดาวรุ่งวัย 21 ปีอย่าง ซิมอน เอดินกร้า กล้าเล่นกล้าลุยโดยไม่มีความกลัวอะไรเลย การตัดสินใจจังหวะต่างๆ นั้นทำได้ดีเยี่ยม มีส่วนกับเกมรุกมากมายและก็ทำได้ 1 แอสซิสต์

เช่นเดียวกับ ทาริค แลมพ์เตย์ เกมนี้ต้องมายืนเป็นแบ็กซ้ายจำเป็นแทนที่ เพอร์วิส เอสตูปินญาน แต่กลับมีฟอร์มที่โดดเด่นทั้งการช่วยเกมรับและการเติมเกมรุกที่สร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด และวันนี้พี่แกก็กดไป 2 แอสซิสต์ด้วยกัน

จะเห็นได้ว่า ไบร์ทตัน มีตัวผู้เล่นที่หมุนเวียนแทนกันได้ตลอดซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มาตรฐานของพวกเขาไม่มีตก และเป็นสิ่งที่ทีมใหญ่ๆ ยังขาดอยู่ แน่นอนว่าคนที่สมควรได้รับความดีความชอบมากที่สุดในเรื่องนี้ทั้งเรื่องการวางหมากและแทคติกก็คือผู้บัญชาทีมอย่าง โรแบร์โต้ เด แซร์บี้

สถิติที่ไม่น่าจดจำ

ความพ่ายแพ้ในเกมนี้คา โรงละครแห่งความฝัน ของ แมนฯ ยูไนเต็ด มีสถิติที่ไม่น่าจดจำเกิดขึ้นมากมาย โดย 22 เกมหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก ที่เฝ้ารังพวกเขาชนะ 17 นัด เสมอ 3 และแพ้ 2 นัดซึ่งการแพ้ 2 ครั้งดังกล่าวเกิดขึ้นจากฝีมือของ ไบร์ทตัน

ความพ่ายแพ้ในเกมนี้นับเป็นความพ่ายแพ้ต่อ ไบร์ทตัน ในเกม พรีเมียร์ลีก ติดต่อกัน 4 นัด และทาง "นกนางนวล" ก็นัดทีมแรกที่ไม่ใช่ "บิ๊ก 6" ที่สามารถจารึกสถิตินี้ขึ้นมาได้

ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด นับเป็นการปราชัยครั้งที่ 3 จาก 5 เกมแรกของซีซั่น และนี่คือครั้งแรกที่เกิดขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์สโมสร

ปาสกาล กรอสส์ ชื่อนี้แฟนๆ ยูไนเต็ด น่าจะจดจำไปอีกนาน เพราะนี่คือนักเตะที่ทำประตูที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 4 ประตู และมีแค่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ โมอาเหม็ด ซาลาห์ ที่ทำได้มากกว่าที่ 5 ประตู

แดนนี่ เวลเบ็ค อาจจะเคยเป็นตัวตลกในสายตาแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด แต่วันนี้ 1 ประตูที่ซัลโวได้ทำให้พี่แกกลายเป็นอดีตนักเตะที่ยิงประตูใส่ "ปีศาจแดง" ได้มากที่สุดที่ 4 ประตูด้วยกัน

HaMu Dos Santos

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline