"การคุม เรอัล มาดริด น่ะเหรอ ? ทุกๆ สิ่งมันขึ้นอยู่กับเวลา ตอนนี้ผมยังมีความสุขดีกับ เลเวอร์คูเซ่น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมันก็เป็นเรื่องของอนาคต โดยปกติในโลกของฟุตบอลเมื่อคุณคิดถึงเรื่องในระยะยาวคุณจะสูญเสียการโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว"
"ตอนนี้สิ่งที่ผมคิดก็มีแค่ เลเวอร์คูเซ่น และเป้าหมายก็คือการได้กลับไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วนเรื่องของอนาคตหลังจบฤดูกาลจะเป็นยังไง เดี๋ยวคงได้เห็นกัน"
นี่คือสิ่งที่ ชาบี อลอนโซ่ ได้พูดเอาไว้ช่วงปรีซีซั่นเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความเป็นไปได้ในการกลับไปยัง เรอัล มาดริด อีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม
อย่างที่ทราบกันว่า คาร์โล อันเชล็อตติ จะอยู่กับ เรอัล มาดริด ปีนี้เป็นฤดูกาลสุดท้ายก่อนจะโยกไปรับงานเป็น ผู้จัดการทีมชาติบราซิล ทางฝั่ง "ราชันชุดขาว" เองก็ต้องเริ่มคิดและวางแผนกันตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อตามหาว่าใครคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะมารับช่วงต่อ
ข่าวลือเกี่ยวกับการกลับมาของ ซีเนดีน ซีดาน ก็มีให้เห็นอยู่ทุกครั้งเมื่อมีประเด็นเรื่องการตามหาโค้ชคนใหม่ และในทางกลับกันพวกโค้ชทีมสำรองอย่าง ราอูล กอนซาเลซ และ อัลบาโร่ อาร์เบลัว ก็อาจจะเป็นหนึ่งในการพิจารณาเช่นกัน
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ณ ตอนนี้ไม่มีใครเหมาะสมไปมากกว่า ชาบี อลอนโซ่ อีกแล้ว ตามการรายงานของสื่อดังอย่าง มาร์ก้า ก็เปิดเผยด้วยเหมือนกันว่า ตอนนี้คนที่ เรอัล มาดริด ให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ ชาบี อลอนโซ่
ทำไมถึงต้องเป็น ชาบี อลอนโซ่ ? ปัจจัยแรกเลยก็คือ "ตำนานของสโมสร" ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่อยู่กับ เรอัล มาดริด มาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ก็ได้รับการจดจำในฐานะหนึ่งในตำนานของสโมสร
อลอนโซ่ เก็บข้าวของย้ายจาก ลิเวอร์พูล มาอยู่กับ เรอัล มาดริด เมื่อปี 2009 ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ได้ลงเล่นไปตลอด 5 ปี 236 นัด ยิงได้ 6 ประตูและทำได้ 31 แอสซิสต์ มีส่วนกับความสำเร็จที่เถลิงบัลลังก์แชมป์ ลา ลีกา, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ซูเปอร์โกปา เด เอสปันญ่า อย่างละ 1 สมัย และ โกปา เดล เรย์ อีก 2 สมัย
หลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นเหล่าตำนานหวนคืนสู่สโมสรของตัวเองอีกในฐานะกุนซือ และก็ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กับ บาร์เซโลน่า, ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ กับ แอตเลติโก มาดริด รวมไปถึง ซีเนดีน ซีดาน กับ เรอัล มาดริด บางที ชาบี อลอนโซ่ อาจเป็นตำนานคนต่อไปที่เดินตามรอยพวกเขาเหล่านี้
ปัจจัยข้อสองก็คือตัว ชาบี อลอนโซ่ เริ่มคิดและตั้งเป้าว่าอนาคตจะต้องเป็นกุนซือให้ได้มาตั้งแต่สมัยค้าแข้งกับ เรอัล มาดริด แล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 คุณรู้รึเปล่าว่าเหตุผลที่เขาตัดสินใจย้ายออกจากทีมเพื่อไป บาเยิร์น มิวนิค เพราะอะไร ?
เหตุผลแรกเลยก็คือเรื่องความท้าทายครั้งใหม่ แต่เหตุผลที่แท้จริงเลยก็คือย้ายไปที่นั่นเพื่อเรียนรู้บทเรียนต่างๆ เพื่อค้นหาความลับว่าที่ทำไม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงเป็นอัจฉริยะและได้รับการยกย่องว่าเป็นโค้ชที่เก่งที่สุดในยุคนี้
หลังแขวนสตั๊ดในปี 2017 ชาบี อลอนโซ่ ก็มุ่งสู่เส้นทางสายกุนซืออย่างเต็มตัว ก่อนที่ปีต่อมาจะจบสูตรการอบรมได้ใบไลเซนส์จาก ยูฟ่า และกลับมาทดลองงานกับ เรอัล มาดริด ชุดเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี
จากนั้นไม่นาน ชาบี อลอนโซ่ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เข้าไปคุมทีม เรอัล โซเซียดาด เบ ซึ่งเป็นสโมสรแรกเริ่มในเส้นทางค้าแข้งของเขา และในฤดูกาลที่สองเขาก็สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงเอาไว้นั่นคือการชนะ อัลเดซิราส ในเกมเพลย์ออฟ พร้อมกับพาทีมเลื่อนชั้นสู่เวที เซกุนด้า ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี และมีสถิติการยิงประตูที่มากถึง 140 ประตูจากการคุมทีม 98 นัด
ปัจจัยข้อสามก็คือเรื่องของผลงานที่จับต้องได้ จำได้ว่าช่วงที่ ชาบี อลอนโซ่ แยกทางกับ เรอัล โซเซียดาด เบ ทีมที่สนใจในตัวเขามากๆ ก็คือ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ที่กำลังตามหากุนซือคนใหม่ แต่ก็เลือกตอบปฏิเสธไป ก่อนที่สุดท้ายจะมาลงเอยกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
ชาบี อลอนโซ่ เข้ามารับช่วงต่อ เกราร์โด้ เซโออาเน่ ที่เพิ่งโดนสั่งปลดออกจากตำแหน่งไปเซ่นผลงานอันย่ำแย่ที่พาทีมจมอยู่อันดับ 2 จากบ๊วย หลังผ่านไปแค่ 8 นัดในเวที บุนเดสลีกา ถึงแม้จะเป็นผู้เล่นชุดเดิม เสริมทัพมาเพิ่ม 2-3 คนในช่วงปีใหม่แต่ก็ไม่ใช่นักเตะชื่อดังและตอบโจทย์เท่าไหร่ ทว่า "ห้างขายยา" กลับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีเมื่อการมาของชายคนนี้
เขาพา ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ที่จมอยู่อันดับ 18 ไต่ขึ้นมาจนจบอันดับ 6 คว้าโควต้าไปเล่นฟุตบอลยุโรปได้สำเร็จทั้งที่ดูจากรูปการแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ตั้งแต่ต้นซีซั่น และในเกม ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ปีนั้นเจ้าตัวก็พาขุนพล "ห้างขายยา" ตีตั๋วไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศ
พอมาปีนี้ ชาบี อลอนโซ่ ได้คุมทีมแบบเต็มๆ มีเวลาวางแผนและตามหานักเตะที่โดนใจเข้ามาเสริมทัพ และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ของเขาในฤดูกาลนี้ ยังไม่แพ้ใครตลอด 7 นัดรวมทุกรายการ ชนะ 6 ยิงได้ 29 ประตูและเสียแค่ 6 ประตูเท่านั้น
พวกเขาเอาชนะทีมที่ฟอร์มแรงและเกมรุกโหดมากๆ อย่าง ไลป์ซิก ได้ 3-2 และต่อกรกับทีมแชมป์เก่าอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ได้อย่างสูสีและสกอร์จบที่ 2-2 แต่ละเกมที่ลงเล่นพวกเขายิงประตูใส่คู่แข่งได้อย่างต่ำ 2 ลูกขึ้นไปทุกนัด และตอนนี้ก็เป็นจ่าฝูงร่วมกับ "เสือใต้"
ถึงจะเป็นแค่ช่วงต้นซีซั่นแต่หลายๆ ฝ่ายทั้งสื่อและเกจิกูรูในเยอรมันต่างก็มั่นใจว่านี่แหละคือทีมที่จะมาลุ้นแย่งแชมป์แบบเต็มตัวกับ บาเยิร์น มิวนิค ในฤดูกาลนี้
ส่วนเรื่องของแท็คติกและสไตล์การทำทีมก็เป็นบอลบุกเป็นจัดๆ เน้นเล่นเกมเร็วทำจังหวะเร็ว โดยมีหลักปรัชญาว่า หากเรากดดันหรือขึงคู่ต่อสู้ได้อยู่หมัดในพื้นที่อันตรายเดี๋ยวประตูก็จะมาเอง เขาใช้เวลาทดลองและปรับสูตรอยู่พักใหญ่ก่อนจะมาพบว่าระบบ 3-4-3 คือสูตรสำเร็จสำหรับเขา
พอพอเวลาตั้งรับก็จะถอยไปยืนเป็น 5-2-3 ตัววิงแบ็กต้องถอยลงมาให้ไวเป็นหลัง 5 คน ผู้เล่นในแดนหน้าก็ต้องวิ่งกดดันไล่เพรสเพื่อให้ศัตรูเซ็ตยากที่สุดจากแดนตัวเอง พอได้โอกาสเล่นเกมสวนกลับจากรับอยู่ 5 คนก็จะดันขึ้นมาเป็นแผงแนวรุก 5 คน นี่คือแผนที่ อลอนโซ่ ใช้และได้ผลเป็นอย่างดีตลอด 6-7 นัดที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องของบารมีอิทธิพลและการจัดการกับนักเตะดูแล้วก็ไม่น่าใช่สิ่งที่ต้องมาตั้งข้อสงสัยกัน เพราะ ชาบี อลอนโซ่ ก็ทำงานมาตั้งแต่กับแข้งเยาวชนยันผู้เล่นระดับซีเนียร์ซึ่งเขาเองก็รู้ดีกว่านักเตะแบบไหนควรจัดการและรับมือยังไง
และด้วยความที่อดีตก็ได้ชื่อว่าเป็นตำนาน และก็ไม่ใช่แค่กับ ลิเวอร์พูล หรือ เรอัล มาดริด เท่านั้นแต่มันหมายถึงหนึ่งในตำนานและหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของวงการฟุตบอลเลยทีเดียว แน่นอนว่า ชาบี อลอนโซ่ ก็เป็นแบบอย่างและเป็นไอดอลของนักฟุตบอลรุ่นหลังๆ หลายคนเช่นกัน
และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมดที่ว่าทำไม เรอัล มาดริด ถึงสนใจในตัว ชาบี อลอนโซ่ ถึงมันจะยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน เรื่องของผลงานก็ยังต้องดูอีกในระยะยาวทั้งซีซั่น แต่หากพูดถึงชั่วโมงนี้มันก็สมเหตุสมผลว่าไม่มีใครเหมาะสมที่สุดไปกว่าเขาอีกแล้วกับเก้าอี้กุนซือ "ราชันชุดขาว"
HaMu Dos Santos