logo-heading

หลังเกม ! หงส์ เครื่องยังแรงพลิกแซง ไบร์ทตัน เข้าวิน 2-1

ลิเวอร์พูล ยังคงมาตามนัดด้วยการคว้า 3 คะแนนสำคัญหลังพลิกกลับมาแซงชนะ ไบร์ทตัน 2-1 พร้อมกับแซงขึ้นไปครองจ่าฝูงชั่วคราว จะมีเรื่องอะไรน่าสนใจในเกมๆ นี้ ไปติดตามรับชมได้เลยครับ

[ ครบรส ]

เป็นเกมที่สู้กันได้สนุกสุดมันส์จริงๆ เพราะมักจะไปเดินหน้าบุกไปถึงพื้นที่สุดท้ายของอีกฝ่ายได้ตลอด แต่ภาพรวมก็ค่อนข้างชัดว่า ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายที่เหนือกว่าจริงๆ ทั้งเรื่องการครองเกม การสร้างสรรค์โอกาส และการลุ้นทำประตู

พวกเขามีโอกาสลุ้นทำประตูไปมากถึง 30 ครั้งในเกมนี้ซึ่งมากกว่า ไบร์ทตัน ที่ทำได้ 9 ครั้ง และก็ยิงตรงกรอบมากกว่าที่ 8 ครั้ง ส่วนผู้มาเยือน ไบร์ทตัน ยิงตรงกรอบแค่ 3 ครั้ง

ลิเวอร์พูล มีโอกาสเยอะก็จริงแต่ส่วนใหญ่จะโอกาสเปลืองมาก ยิงหลุดกรอบ และข้ามคาน เป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงกระนั้นด้วยโอกาสที่น้อยกว่า 2-3 เท่าของ ไบร์ทตัน เวลาที่พวกเขามีโอกาสก็ได้ลุ้นประตูทั้งนั้น และก็สร้างความหนักใจให้ทีมเจ้าบ้านไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

[ ยิงเร็วที่ แอนฟิลด์ ]

เกมๆ นี้ประตูแรกเกิดขึ้นไวมากๆ และเป็นทางฝั่งผู้มาเยือนอย่าง ไบร์ทตัน ที่บุกมานำ 1-0 จาก แดนนี่ เวลเบ็ค โดยใช้เวลาแค่ 87 วินาทีเท่านั้น นับเป็นทีมคู่แข่ง พรีเมียร์ลีก ที่บุกมายิงใส่ ลิเวอร์พูล ด้วยเวลาที่ไวที่สุด โดยเป็นรอง แฮร์รี่ เคน ที่เคยทำไว้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ 47 วินาที

เท่ากับว่าตอนนี้ แดนนี่ เวลเบ็ค ยิงไปแล้ว 15 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ยามเจอกับทีม Big 6 โดยแบ่งเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด 4 ประตู, อาร์เซน่อล 3 ประตู, เชลซี 3 ประตู, สเปอร์ส 2 ประตู และ ลิเวอร์พูล 2 ประตู และมี 2 ประตูเกิดขึ้นที่ แอนฟิลด์

[ โม ซาลาห์ ]

หากจะพูดถึงผู้เล่นที่มีโอากสมากที่สุดในเกมนี้แน่นอนว่าภาพที่ชัดมากๆ ก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่เกมนี้ค่อนข้างทื่อ เพราะใช้โอกาสเปลืองมากและยิงทิ้งยิงขว้างไปเยอะ ว่ากันว่าครึ่งแรกที่ ลิเวอร์พูล มีโอกาส 14 ครั้ง ซาลาห์ คนนี้เหมาไปครึ่งหนึ่งที่ 7 ครั้ง

แต่อย่างน้อยสุดท้ายแล้ว "บังโม" ก็มีชื่อเป็นผู้ทำประตูในเกมนี้ และเป็นประตูชัยที่พา ลิเวอร์พูล คว้า 3 แต้มสำคัญ และก็นับเป็นประตูที่ 9 จาก 15 เกมที่เจอกับ ไบร์ทตัน

จริงๆ โม ซาลาห์ เกือบสร้างจังหวะที่สวยงามที่สุดในเกมนี้ซึ่งจ่ายบอลแทยงมุมปาดไปให้ หลุยส์ ดิอาซ ซัดประตูตอกฝาโลง 3-1 ในนาที 71 แต่น่าเสียดายที่จังหวะนั้นโดนตัดสินว่าล้ำหน้า โดยภาพจาก VAR ตีเส้นให้เห็นว่าปลายสตั๊ดของ ดิอาซ นั้นเหลื่อมๆ กับบั้นท้ายของ ลูอิส ดังค์ นิดเดียวเอง

[ แม็ค อัลลิสเตอร์ ]

ต้องบอกว่าช่วงนี้ยิ่งเล่นยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ สำหรับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ วันนี้เขาคือคนที่โดดเด่นที่สุดในแดนกลาง มีส่วนร่วมกับเกมรุกอย่างมาก ทั้งการปั้นเกมและสร้างโอกาส มีหลายจังหวะที่จ่ายบอลสวยๆ ให้เพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะจังหวะที่แทงทะลุแผงหลัง ไบร์ทตัน ให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เข้าไปซัลโวแบบนิ่มๆ 

เท่ากับว่าตอนนี้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ มีส่วนร่วมถึง 6 ประตูจาก 5 เกมหลังสุดในลีก (ยิง 2 แอสซิสต์ 4) ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับ 19 นัดแรกที่เขาลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล

ส่วนสถิติต่างๆ ในเกมนี้ของเขา ผ่านบอลสำเร็จ 58 จาก 63 ครั้ง, ครองบอลชนะ 6 ครั้ง, ดวลชนะคู่แข่ง 5 ครั้ง เขาคือคนที่ผ่านบอลเข้าสู่พื้นที่อันตรายของศัตรูมากที่สุด 33 ครั้ง และ สร้างโอกาสได้มากที่สุด 33 ครั้ง

[ เจอร์เก้น คล็อปป์ ]

ก่อนเกมมีสถิติเปิดเผยว่า โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ เป็นผู้จัดการทีมเพียงคนเดียวใน พรีเมียร์ลีก ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่เคยชนะ เพราะ 4 ครั้งที่เจอกันก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล ไม่ชนะเลย แต่ล่าสุด คล็อปป์ ทำได้แล้ว เขาสามารถเอาชนะ เด แซร์บี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของเขาซีซั่นหน้าได้แล้ว

[ พลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง ]

อย่างที่ทราบกันว่าฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล มักตกเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่งก่อนเป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับเกมนัดนี้ที่โดน ไบร์ทตัน บุกมานำตั้งแต่ช่วง 1 นาทีกว่าๆ แต่สุดท้ายก็พลิกสถานการณ์กลับมาคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการได้อีกครั้ง 

เท่ากับว่าตอนนี้ ลิเวอร์พูล มีสถิติโดนนำก่อนและกลับมาเก็บแต้มได้ 26 คะแนน นับเป็นสถิติที่ดีที่สุดกว่าทุกทีมในซีซั่นนี้

[ สถานการณ์ล่าสุด ]

ชัยชนะในวันนี้ยังคงทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครที่ แอนฟิลด์เป็นนัดที่ 32 ติดต่อกันจากการลงเล่นทุกรายการ โดยแบ่งเป็น ชนะ 27 เสมอ 5 และที่สำคัญก็คือตอนนี้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้แซง อาร์เซน่อล ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราว แข่ง 29 นัด มี 67 คะแนน การันตีได้เลยว่าไม่ที่ 1 ก็ที่ 2 หลังจบสัปดาห์นี้ เพราะต้องรอลุ้นผลการแข่งขันในคู่ของ อาร์เซน่อล และ แมนฯ ซิตี้

HaMu Dos Santos

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline