[ แมนยู มาดีกว่าที่คิด ]
หากดูจากฟอร์มของทั้งสองทีมในช่วงที่ผ่านมาต้องบอกว่า "ต่างกันราวฟ้ากับเหว" ทางด้าน เรือใบสีฟ้า ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่แพ้ใครมา 22 นัดในเกมลีก แถมเพิ่งจะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาได้แบบสดๆร้อนๆ สภาพทีมแทบจะไม่มีปัญหา จัดมาแบบฟูลออฟชั่น
ส่วนทางด้าน ปีศาจแดง เอาแค่ฟอร์มการเล่น 10 เกมหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก ชนะได้เพียง 3 เกมเท่านั้น เสมอ 4 แพ้ 3 เรียกได้ว่าเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ บวกกับสภาพทีมที่ขาดผู้เล่นแกนหลักอยู่หลายคนไม่ว่าจะเป็น ลุค ชอว์, แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ที่เป็นเดอะแบกแผงเกมรับในระยะหลัง ไหนจะกองกลางคนสำคัญอย่าง กาเซมิโร่ ก็ดันมาบาดเจ็บก่อนเกมนัดชิงซะอย่างงั้น แถมวันก่อนมีข่าวว่า กุนซืออย่าง เอริค เทน ฮาก จะโดนเด้งอีก ต้องบอกว่าฟ้าฝนไม่เป็นใจเอาซะเลย
เชื่อได้เลยว่า แฟนผี ร้อยละ 80 ต้องมีบ้างแหละครับ ที่ทำใจก่อนเกมจะเริ่มแล้ว เพราะถ้าเอาหลายๆอย่างมาประกอบกันต้องบอกว่าการจะเอาชนะทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในสภาพนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ เกมนัดเดียวอะไก็เกิดขึ้นได้
แต่พอผู้ตัดสินเป่าเริ่มเกม แมนยู กลับทำได้ดีกว่าที่คิดใช้แผน 4-2-4 โดยใช้ผู้เล่นแนวรุกทั้ง 4 คนคอยเล่นงานการบิ้วอัพจากแดนหลังของ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งปรากฏว่ามันกลับได้ผล มีโอกาสโต้ไปจบงามๆอยู่หลายครั้ง
ส่วนทางฝั่ง แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า วันนี้มาเล่นเนือยกว่าที่คิดไว้เยอะมาก สปีดบอลดูเอื่อยเฉื่อยสุดๆ แถมนักเตะของ ซิตี้ อย่าง ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ที่ช่วงหลังโชว์ฟอร์มได้โดดเด่น แต่ทว่าเกมวันนี้เจ้าตัวกลับฟอร์มออกทะเล ดูไม่เข้าใจกับเพื่อน แถมยังจ่ายบอลเสียอยู่หลายครั้ง และเป็นส่วนสำคัญให้ทีมเสียประตูแรกอีกด้วย
[ เกมรุกมีทีเด็ด เกมรับแข็งแกร่ง ]
นอกจากแผนที่ เอริค เทน ฮาก จะวางหมากมาได้ดีแล้ว ฟอร์มส่วนตัวของผู้เล่น แมนฯ ยูไนเต็ด แทบทุกรายต่างโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม
โดยเฉพาะผู้เล่นในแผงเกมรับ หากใครได้ดู แมนยู เล่นมาตลอดทั้งซีซั่น จะเห็นได้ว่าเกมรับนี่แหละคือจุดอ่อนของทีมเลยก็ว่าได้ เสีย 83 ประตูรวมทุกรายการ มากที่สุดในรอบ 53 ปี เป็นเครื่องการันตีได้เลยว่าเกมรับเข้าขั้นบัดซบแค่ไหน
แต่ทว่าเกมนี้พอได้ ลิซานโดร มาร์ติเนซ และ ราฟาเอล วาราน ที่เป็นคู่เซ็นเตอร์แบ็คตัวจริงเมื่อฤดูกาลที่แล้วกลับมายืนคู่กันอีกครั้ง ซึ่งทำคู่ก็ทำได้ดีทีเดียว และไม่ทำให้แฟนแมนยู ต้องผิดหวัง เรียกได้ว่าเก็บกินเรียบ
หากดูสถิติในครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสง้างประตูเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น แต่น่าเสียดายนะครับ เพราะเกมนัดนี้จะเป็นนัดสุดท้ายที่ทั้งคู่จะได้เล่นด้วยกันในสีเสื้อ ปีศาจแดง
นอกจากคู่เซ็นเตอร์โชว์ฟอร์มแจ่มจรัสแล้ว แผงมิดฟิลด์คู่กลางอย่าง ค็อบบี้ ไมนู และ อัมราบัต ก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ตามประกบมิดฟิลด์จอมขมังเวทย์อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ จนเล่นไม่ออก
ส่วนเกมรุกวันนี้ทำผลงานได้ไฉไลทุกคน อเลฮานโดร การ์นาโช่ ปั่นป่วนเกมรับของ แมนฯ ซิตี้ ได้ดีทีเดียว แถมยังเก็บตกความผิดพลาดของคู่แข่งชิงเบิกสกอร์แรกของทีมได้
แรชฟอร์ด เองวันนี้ดูเขามุ่งมั่นตั้งใจทีเดียว ความเร็วของเขาเป็นจุดที่ทำให้ เทน ฮาก เอาไว้เล่นงานแผงเกมรับคู่แข่งซึ่งได้ผลดีทีเดียว และเขาเป็นที่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับประตูที่สองจากการวางบอลยาวให้ การ์นาโช่
ส่วนนักเตะที่ผมยกให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตซ์ ในเกมนัดนี้คงหนีไม่พ้น บรูโน่ แฟร์นานเดส ที่เป็นทุกอย่างของทีมจริงๆ ทั้งช่วยเกมรับ และเล่นเกมรุก ลูกจ่ายของเขาหวังผลได้แทบทุกครั้ง แถมยังมีแอสซิสต์ประตูที่สองให้ ค็อบบี้ ไมนู อีกด้วย
[ อนาคตของ เทน ฮาก ]
อย่างที่ทราบกันดีนะครับ เพราะเมื่อวันก่อนมีข่าวที่ เอริค เทน ฮาก จะถูกปลดออาจากตำแหน่งกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้จะได้คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ก็ตาม
หากมองดูภาพรวมของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะในลีกฤดูกาลนี้อาจจะมีฤดูกาลที่แย่ จบได้เพียงอันดับ 8 ของตารางเท่านั้น ซึ่งเป็นอันดับที่แย่ที่สุดในยุค พรีเมียร์ลีก ของทีม
แต่การคว้า 2 แชมป์จาก 2 ฤดูกาล ก็ควรให้เครดิต เทน ฮาก ด้วยเช่นเดียวกัน
โดย เทน ฮาก สัมภาษณ์หลังเกมไว้ว่า "2 แชมป์ใน 2 ฤดูกาล และเข้าชิงสามครั้ง มันไม่ได้แย่เลย ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผมอีกต่อไป ผมก็จะไปที่อื่นเพื่อคว้าแชมป์ และนั่นคือสิ่งที่ผมจะทำ"
[ คว้าตั๋วไปลุย ยูโรป้า ]
อีกหนึ่งจุดที่ต้องพูดถึงคือ การคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในครั้งนี้ส่งผลให้ ทัพปีศาจแดง คว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลยุโรปอย่าง ยูโรป้า ลีก ทันที
อีกทั้งยังถีบให้ เชลซี ไปเล่นถ้วยเล็กอย่าง คอนเฟอเรนซ์ แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดคงหนีไม่พ้น นิวคาสเซิ่ล เพราะไม่ได้ไปเล่นสักรายการ
แม้ผลงานในลีกจะระยำตำบอนจบได้เพียงอันดับ 8 ของตาราง แต่การคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ บวกกับคว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอล ยุโรป จะมีน้ำหนักพอให้ เอริค เทน ฮาก อยู่นำทัพ ปีศาจแดง ในฤดูกาลหน้าหรือไม่ คงต้องรอติดตามกันครับ
- บีเบลล์ กูนเนอร์ -