ถือว่าเป็นไปตามคาดสำหรับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่บุกไปกระหน่ำใส่น้องใหม่ เซาธ์แฮมป์ตัน 3-0 ถึงรั้ว เซนต์ แมรี่
เรียกได้ว่าเป็นการแก้ตัวหลังพ่ายไปแบบหมดสภาพจากสัปดาห์ก่อนโน้นที่โดน ลิเวอร์พูล บุกมายำใหญ่ถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 3-0 พร้อมกับเป็นการเรียกความมั่นใจกลับมาสำหรับเส้นทางการลุ้นความสำเร็จในเกมๆ ต่อไป
ส่วนประเด็นและเรื่องราวที่น่าสนใจในเกมๆ นี้จะมีอะไรกันบ้างไปติดตามรับชมพร้อมๆ กันเลยครับ . . .
[ จุดเปลี่ยนของเกม ]
ต้องยอมรับว่าในช่วงครึ่งแรก เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่ได้เป็นรองกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เลยสักนิด พวกเขาสู้ได้ดีจริงๆ หากมองในเรื่องโอกาสลุ้นทำประตู การครองบอล การขึงและคุมโซนพื้นที่ แต่มันก็ติดที่ปัญหาเดิมๆ นั่นคือก็จังหวะการเล่นในพื้นที่สุดท้าย และความชัวร์ในการปิดสกอร์ซึ่งนั่นก็รวมถึงช็อตการสังหารจุดโทษด้วย
คาเมร่อน อาร์เชอร์ ยิงจุดโทษไปติดเซฟของ อังเดร โอนาน่า นั่นแหละคือจุดเปลี่ยนของเกม เชื่อได้เลยว่าถ้าลูกนั้นเป็นประตู โมเมนตั้ม และรูปเกมหลังจากนั้นรวมไปถึงครึ่งหลังคงไม่ออกมาแบบนี้
หลังจาก คาเมร่อน อาร์เชอร์ กลายเป็นผู้ร้ายที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมสูญเสียกำลังใจ โมเมนตั้มมันก็กลายเป็นทางฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ได้ใจและได้ประตูขึ้นนำหลังจากนั้นเพียงแค่ 2 นาที และก็มาโดนอีกลูกในช่วงท้ายครึ่งแรก
แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้อยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุด แต่มันเป็นเพราะสกอร์ที่นำอยู่ 2 ประตูในครึ่งแรกทำให้พวกเขาเล่นได้สบายและไร้ความกดดัน กลายเป็นทาง เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ช็อตไปดื้อๆ เลย ครึ่งหลังแทบไม่มีอาวุธหนักๆ โจมตีใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด เลย เตะมุมสักครั้งก็ไม่มี พอ แจ็ค สตีเฟ่นส์ มาเสียใบแดงสถานการณ์ก็เลยแล้วร้ายขึ้นไปอีก ก่อนจะโดนตอกฝาโลงก่อนสิ้นเสียงนกหวีด 3-0
[ ฝันร้ายของ แรมส์เดล ]
เซาธ์แฮมป์ตัน ต้องปราชัยเป็นนัดที่ 4 ติดต่อกันและยังไม่มีแม้แต่แต้มเดียว ถ้าจะถามถึงคนที่น่าจะชอกช้ำและเจ็บปวดที่สุดในคืนนี้ก็คงต้องยกให้ อาร่อน แรมส์เดล เพราะเขามักมีสถิติที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักยามเจอกับ ปีศาจแดง
ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้ อารอน แรมส์เดล เจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปแล้ว 10 นัด โดนยิงไปถึง 22 ประตู และไม่เคยเก็บคลีนชีทได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว นับเป็นสโมสรที่เจ้าตัวเสียประตูให้เยอะที่สุดเป็นอันดับ 2 ใน พรีเมียร์ลีก รองจาก ลิเวอร์พูล (ยิง 23 ประตูจากการพบกัน 11 นัด)
[ มัทไธส์ เดอ ลิกต์ ]
ย้อนกลับไปช่วง ฟีฟ่า เดย์ มีกระแสวิจารณ์ มัทไธส์ เดอ ลิกต์ แบบกระหน่ำกับการรับใช้ ทีมชาติ ฮอลแลนด์ ในช่วง ฟีฟ่า เดย์ เพราะมีช็อตผิดพลาดจนทีมเสียประตูทั้งในวันที่เจอ บอสเนีย และ เยอรมัน
แต่ในวันนี้ มัทไธส์ เดอ ลิกต์ จัดว่ามีฟอร์มที่โอเคเลย อาจจะโดนเลี้ยงผ่านอยู่บ้าง แต่ก็มีสถิติผ่านบอลสำเร็จ 91 เปอร์เซนต์ (29/32) เคลียร์บอล 5 ครั้ง ดวลชนะ 4/6 ครั้ง เข้าปะทะสำเร็จ 3 ครั้ง สกัดบอลหน้าปากประตู 1 ครั้ง ยิงตรงกรอบ 2 ครั้ง สร้างสรรค์โอกาส 1 ครั้ง และที่สำคัญเลยคือวันนี้เขามีชื่อเป็นคนทำประตูให้กับทีมด้วยซึ่งนี่คือประแรกในสีเสื้อ ปีศาจแดง แถมยังได้รางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ครั้งแรกในลีกผู้ดีอีกด้วย
นับเป็นภาพที่คุ้นชินเมื่อสมัยอยู่กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เพราะนี่คือกองหลังที่มักชอบขึ้นไปป้วนเปี้ยนๆ อยู่ในกรอบเขตโทษ และมักใส่สกอร์ให้กับทีมได้อยู่บ่อยๆ แต่ก็ขาดๆ เกินๆ ยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า เอริค เทน ฮาก จะเค้น เดอ ลิกต์ ร่างเมื่อ 4-5 ปีก่อนออกมาได้หรือไม่
[ แข้งผีที่น่าผิดหวัง ]
ถ้าจะให้พูดถึงผู้เล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ผลงานน่าผิดหวังในเกมนี้ สำหรับ ดิโอโก้ ดาโลต์ ก็คงจะมีแค่ช็อตเดียวนั่นคือการทำให้ทีมเสียจุดโทษ แต่ยังโชคดีที่ไม่เสียประตู ส่วน ค็อบบี้ เมนู วันนี้ไม่ได้อยู่ในฟอร์มดั่งที่แฟนๆ คาดหวัง เพราะวันนี้มีหลายจังหวะที่เสียบอลง่ายมากๆ รวมไปถึงความพยายามในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า
ส่วน โจชัว เซิร์กซี เขาอาจจะมีอิมแพ็คในแง่ของการเชื่อมเกม ต่อบอล หาช่องวิ่งทำทางเพื่อเล่นกับเพื่อน แต่สิ่งที่น่าเสียดายมากๆ คือวันนี้ไม่มีชื่อเป็นผู้ทำประตูทั้งๆ ที่มีโอกาสดีๆ อยู่ 2-3 ครั้ง ก็คงต้องให้เวลาปรับตัวกันต่อไป ส่วนทาง มาร์คัส แรชฟอร์ด จริงๆ เกมนี้ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นเศษเลย ถ้าไม่นับ 1 ประตูที่ทำได้ซึ่งเป็นประตูแรกใน พรีเมียร์ลีก ในรอบ 189 วัน
ขณะที่ มานูเอล อูการ์เต้ ได้เดบิวต์เกมแรกแล้วในสีเสื้อ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ก็ยังวัดอะไรหรือตัดสินอะไรไม่ได้เพราะได้ลงมาในช่วง 17 นาทีสุดท้าย
[ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ]
ตอนที่มีการประกาศรายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงพวกแฟนบอลในโลกโซเชี่ยลต่างก็ฮือฮากันเมื่อเห็น อเลฮานโดร การ์นาโช่ ถูกจับนั่งเป็นสำรอง หลังมีประเด็นเรื่องไปกดไลค์โพสต์ข้อความของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่วิจารณ์หนักใส่ เอริค เทน ฮาก ภาค 2 จนเป็นที่คาดเดากันไปต่างๆ นาๆ ว่าไอ้เด็กคนนี้จะโดนลงโทษจากุนซือชาวดัตช์หรือไม่
แต่สุดท้ายก็เหมือนจะไม่ได้มีปัญหาอะไรอย่างที่แฟนๆ มโนกันเอาไว้ เหตุผลที่ การ์นาโช่ ได้ออกสตาร์ทที่ม้านั่งสำรอง เทน ฮาก ก็ชี้แจงแล้วว่าเป็นเพราะเรื่องแท็คติก และสุดท้ายเขาถูกส่งลงสนามและก็เป็นผู้ซัดประตูตอกฝาโลงให้ทีมปิดกล่อง 3-0
[ ชนะแต่ยังไม่ปลอดภัย ]
อย่างที่เกริ่นไปก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นแก้ตัวได้สำเร็จจากความพ่ายแพ้ที่หมดสภาพในศึก "แดงเดือด" แต่ชัยชนะในนัดนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์เรื่องอนาคตของ เอริค เทน ฮาก ดูปลอดภัยขึ้นเท่าไหร่นัก เพราะว่าของจริงมันน่าจะมาหลังจากนี้
แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเตะถึง 7 เกมใน 22 วันก่อนถึงช่วง ฟีฟ่า เดย์ ในรอบเดือนตุลาคมซึ่ง เฉลี่ยแล้วต้องเตะ 1 นัดทุกๆ 3 วัน และ เซาธ์แฮมป์ตัน ก็เป็นด่านที่เบาที่สุดอันดับ 2 ในเหล่าบรรดา 7 เกมที่ว่านี้
ต่อจากนี้โปรแกรมที่พวกเขาต้องเจอก็คือ บาร์นสลี่ย์ (เหย้า / คาราบาว คัพ), คริสตัล พาเลซ (พรีเมียร์ลีก / เยือน), ทเวนเต้ (ยูโรปา ลีก / เหย้า), ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (พรีเมียร์ลีก / เหย้า), ปอร์โต้ (ยูโรปา ลีก / เยือน) และ แอสตัน วิลล่า (พรีเมียร์ลีก / เยือน)
เดี๋ยวต้องมาติดตามดูกันว่าในอีก 6 เกมหลังจากนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้กี่นัด และท้ายที่สุดแล้วชะตากรรมของ เอริค เทน ฮาก จะเป็นอย่างไรบ้าง ?
HaMu Dos Santos