logo-heading

ควันหลงหลังจากที่ "บีจี ปทุม ยูไนเต็ด" ตัวแทนจากไทยลีกของเรากระเด้นตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2022 เมื่อวานที่ผ่านมา (22 ส.ค.65) หลังบุกไปโดนอุระวะ เรดฯ ยิงยับถึง 4-0

หลังจบเกมแฟนบอลส่วนใหญ่ก็บอกว่า บีจี สู้ได้ดีแล้ว ทำเต็มที่แล้ว มาถึงรอบ 8 ทีมก็สุดยอดแล้ว บลาๆ

สำหรับผมแล้วก็เห็นด้วยส่วนนึงว่ามาถึงรอบ 8 ทีมได้เป็นครั้งแรกก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่ถ้าเรามองลึกลงไปถึงรายละเอียดจะเห็นว่าในรอบ 8 ทีมนี้ ทีมบีจี เพิ่งจะได้เจอกับทีมระดับเอชียของจริง แต่ไม่ใช่ว่าการเจอคิตฉี หรือการลงเล่นในรอบแบ่งกลุ่มมันไม่ใช่ของจริงนะครับ

แต่ก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า ด้วยการแข่งขันในระดับใหม่ของเอซีแอลที่มีการเพิ่มทีมมาเป็น 40 ทีม มันก็จะมีทีมในระดับที่เมื่อแต่ก่อนลงเตะเอเอฟซี คัพ มาได้เตะถ้วยนี้มากขึ้น โดยเฉพาะทีมจากแถบอาเซียน หรือฮ่องกง อะไรประมาณนี้ ซึ่งว่ากันตามเนื้อผ้าเราก้สามารถสู้ทีมในระดับนี้ได้ทุกทีมอยู่แล้ว

แต่ต้องเมื่อมาเจอกับพี่ใหญ่อย่างทีมจากเกาหลี หรือญี่ปุ่น เราก็มักจะเสร็จทุกครั้งไป ไม่ใช่แค่บอลสโมสรเท่านั้น กับทีมชาติ เมื่อต้องเจอกับทีมระดับเอเชีย เราก็มักจะสู้ไม่ได้เช่นกัน

และคำที่ผมได้เห็นตามคอมเม้นท์มากที่สุดเมื่อวานนี้ก็คือคำว่า "สปีดบอล" ก็คือความเร็วในการเล่นฟุตบอลที่เราสู้เขาไม่ได้

จริงๆ ถ้าใครได้ดูเกมบีจี เมื่อวาน หรือย้อนกลับไปที่ทีมชาติไทย ยู23 ชิงแชมป์เอเชียล่าสุดที่เราเจอเกาหลีใต้ เรื่องของแท็กติก, เบสิคฟุตบอล, ทักษะผู้เล่น, ความสามารถเฉพาะ เราไม่ได้เป็นรองมาก มันก็สู้กันได้หมดในเรื่องพวกนี้

แต่พอมาที่เรื่องของสปีดในการเล่น ที่บอลเกาหลี บอลญี่ปุ่น เขาจะจ่ายกันเท้าสู่เท้าจังหวะเดียวแม่นมาก และที่เห็นชัดสุดๆ คือจังหวะเข้าทำที่เล่นกันไม่กี่จังหวะเมื่อเข้าเขตโทษจะจบสกอร์เร็วทันที แถมเฉียบคมด้วย

ผิดกับทีมไทยของเรา ที่บางที่ก็เล่นกันมากจังหวะ จับบอลลั่นบ้าง จ่ายบอลเสียกันเองบ้าง และจังหวะเข้าทำพื้นที่สุดท้ายก้ทำกันช้าหรือเล่นมากจังหวะเกินไป

ซึ่งทั้งหมดมันก็มาจากมาตรฐานหรือพื้นฐานฟุตบอลในบ้านเรานี่แหละที่เล่นแบบนี้กันมาแต่ไหนแต่ไหร่ และมันก็ยังไม่สามารถที่จะพัฒนาให้ไปได้ไกลกว่านี้ได้

ผมว่าเรื่อง "สปีดฟุตบอล" นี่แหละที่มันคือสิ่งที่ทำให้เรายังก้ามข้ามอาเซียนไปในระดับเอเชียไม่ได้ ตามที่ท่านนายกสมาคมฯ บอก มันไม่ใช่เรื่องโค้ช เรื่องนักเตะ แต่มันคือเรื่องระบบ วิธีการเล่นของเราต่างหากที่มันยังก้ามข้ามไม่ได้

ถ้าย้อนกลับไป 20-30 ปีก่อน ที่คนรุ่นก่อนมักจะบอกว่าบอลเกาหลี ญี่ปุ่น เจอทีมไทยสู้เราไม่ได้เลย โดนถล่มตลอด ซึ่งตอนนั้นสปีดบอลเขาสู้เราไม่ได้จริงๆ แต่ทำไมเวลาผ่านไปเขาพัฒนาขึ้นมาแซงหน้าเราไปได้ 

ดังนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าเราจะพัฒนาสปีดบอลของเราให้มันสู้กับเขาไม่ได้ เพียงแต่ว่าเรามากันผิดทางตั้งแต่แรก และมันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ในตอนนี้

จริงอยู่ครับเวลาเราดูบอลในประเทศอย่าง บุรีรัมย์ เจอ บีจี, การท่าเรือ เจอ เมืองทอง, แบงค็อก เจอ บุรีรัมย์ มันก็ยังดูสนุก ฟุตบอลเล่นกันสวยงาม แลกกันมันส์ เหมือนกับเวลาเราดุทีมชาติไทยเล่นซูซูกิ คัพ หรือซีเกมส์ มันก็มีสปีดบอลที่เหนือกว่าเล่นได้ดีกว่า

แต่พอไปเล่นในระดับเอเชียที่มันเป็นฟุตบอลระดับสูงจริงๆ เราก็ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นจริงๆ อันนี้ต้องยอมรับ นี่แค่ระดับเอเชีย เรายังไม่ได้พูดถึงระดับโลก

มีอย่างนึงที่ผมอยากจะบอก แต่ใครอาจจะเห็นค้านก็ได้ ผมว่าทีมชาติเวียดนาม ที่แม้ว่าเมื่อเจอไทยอาจจะเป็นรองชั่วโมงนี้ ถ้าเทียบกันเฉพาะสโมสร หรือทีมชาติชุดใหญ่ในตอนนี้นะ แต่พอทีมชาติเวียดนามไปเล่นในระดับเอเชีย เขามักจะทำได้ดี และสู้ทีมเอเชียได้สนุก

โดยเฉพาะศึกยู23 ชิงแชมป์เอเชีย 2018 ที่พวกเขาได้รองแชมป์แพ้อุซเบฯ รอบชิง อยากให้ทุกคนไปดูฟอร์มทีมชาติเวียดนามชุดนั้น ที่กล้าพูดได้เต็มปากว่าพวกเขาคือระดับเอเชียอย่างแท้จริง

และทุกวันนี้ทีมเยาวชนของเวียดนาม ก็แข็งแกร่งแทบทุกชุด ซึ่งเมื่อมาดูรายชื่อนักเตะเมื่อเทียบกับไทยผมว่าเราก็ยังดูดีกว่า แต่ที่แตกต่างก็คือเรื่องของทีมเวิร์ค ความฟิต และระบบที่เขาวางแผนพัฒนากันมาอย่างต่อเนื่องนี่แหละ ที่เราสู้เขาไม่ได้

ของเราถ้าให้พูดกันตามตรงก็คือว่ากันไปตามทัวร์นาเม้นท์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไป ดูได้จากการเตรียมทีมในทัวร์นาเม้นท์ที่ผ่านๆ มาก็คงจะเห็นกันอยู่

ดังนั้นทั้งหมดทั้งมวลผมเชื่อว่าฟุตบอลไทยของเราพัฒนาได้ โดยเฉพาะเรื่องของ "สปีดบอล" เราทำได้แน่นอน แต่มันต้องไปกันทั้งระบบ และเริ่มต้นนับหนึ่งกันตั้งแต่วันนี้เลย สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องติดต่อหาคนที่เข้าใจฟุตบอลไทยอย่างแท้จริงมาวางระบบและรากฐานของเรา และก็วางแผนพัฒนาทำกันอย่างจริงจัง เริ่มตอนนี้ไม่สาย อีก 5 ปี 10 ปี ก็รอได้ ถ้ามันจะทำให้ฟุตบอลไทยของเราดีขึ้น และสู้กับทีมในระดับเอเชียได้เสียที!!

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline