logo-heading

จบไปอีกหนึ่งภารกิจของทัพช้างศึก ทีมชาติไทย ของ มาโน่ โพลกิ้ง เฮดโค้ชคนปัจจุบัน ด้วยการพาทีมช้างศึกจบด้วยอันดับที่ 3 ในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 48

ซึ่งจากผลงานเสมอมาเลเซีย 1-1 (แพ้จุดโทษ) และชนะ ตรินิแดดฯ 2-1 ในนัดชิงที่ 3 ดูไปก็ไม่ได้เลวร้ายนัก  แต่จากฟอร์มการเล่นสองเกมที่ผ่านมา หากคิดจะป้องกันแชมป์อาเซียน คัพ ปลายปีนี้ บอกเลยว่ายังไม่พอ

นี่ยังไม่รวมถึงเอเชี่ยน คัพ รอบสุดท้ายกลางปีหน้าอีก ถ้าเราต้องการจะพัฒนาศักยภาพของทีมชาติไทยให้พร้อมสำหรับสองทัวร์นาเม้นท์นี้ มาโน่ โพลกิ้ง ยังมีการบ้านที่ต้องกลับไปทำอีกมาก

เรื่องของเอเชี่ยน คัพ เรายกไว้ก่อนแล้วกัน มาว่ากันที่ทัวร์นาเม้นท์ต่อไป ซึ่งถือเป็นอีกรายการสำคัญที่สมาคมฯ คาดหวัง นั่นคือการป้องกันแชมป์อาเซียน คัพ ในชื่อใหม่ "มิตซูบิชิ อีเลคทริค คัพ"

แม้เราจะประกาศว่าจะก้ามข้ามอาเซียน และมองข้ามรายการนี้ใช้ชุดสำรองหรือชุดเด็กไปเล่น แต่ถึงเวลาก็ส่งชุดใหญ่ไปทุกที และเป้าหมายก็คือแชมป์เท่านั้น

ดังนั้นเรามาดูสิว่ามีอะไรที่กุนซือทีมชาติไทยอย่าง โค้ชมาโน่ ต้องทำกันบ้างก่อนลุยศึกชิงแชมป์อาเซียน 2022

1.เรียกนักเตะที่ฟอร์มดีและเล่นต่อเนื่อง

เรื่องนี้ขอหยิบยกมาจากบทสัมภาษณ์ของคุณเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ว่าทีมชาติไทยจะต้องเรียกนักเตะที่ได้ลงเล่นในเกมลีกอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีเวลาเตรียมทีมน้อยแต่การได้นักเตะที่มีแมตช์ฟิตได้ลงสนามตลอด มันไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเก็บตัว รวมทั้งต้องเลือกนักเตะที่ฟอร์มดีในช่วงเวลานั้นด้วย ไม่ใช่ไปเอานักเตะที่เคยเล่นดีในทีมชาติ แต่ฟอร์มตกตอนนั้นไปเล่น นี่คือสิ่งที่มาโน่ ต้องทำการบ้านอย่างหนักในการเรียกตัวนักเตะครั้งต่อไป

2.เตรียมทีมโดยที่ไม่มี เจ, อุ้ม, มุ้ย

เรื่องต่อมาก็ต่อเนื่องมาจากเรื่องแรก นอกจากจะเรียกนักเตะที่ฟิต ฟอร์มดี แล้ว คุณต้องเตรียมการสำหรับการไม่มี 3 ตัวหลักอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีราทร บุญมาทัน รวมทั้ง ธีรศิลป์ แดงดา ด้วยสำหรับอาเซียน คัพ ครั้งนี้ เพราะทั้งสามคนก็ประกาศชัดเจนว่าจะขอพักและให้โอกาสนักเตะคนอื่นบ้าง ซึ่งสามคนนี้ค่อยเรียกมาอีกครั้งในเอเชี่ยน คัพ ส่วนในอาเซียน คัพ คุณก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะทำยังไงเมื่อไม่มี 3 ตัวเก๋านี้คอยช่วยทีม

3.เตรียมแท็กติกให้หลากหลาย

เรื่องแท็กติกก็สำคัญ เราจะเห็นว่าทั้งสองนัดในคิงส์ คัพ ที่ผ่านมา เรายังไม่มีความหลากหลาย และเล่นกันเหมือนเดิมๆ ไม่มีอะไรแตกต่าง ยิ่งเกมเจอมาเลเซียที่เป็นชาติในอาเซียนด้วยกัน เมื่อเราเจอบอลเพรสซิ่งเร็ว ก็ไปไม่เป็นเลย และเราจะต้องเจอบอลแบบนี้ในอาเซียนแทบทุกทีมที่เจอกับเราแน่นอน ถ้าไม่มีความหลากหลายก็เอาตัวรอดยาก

4.เพิ่มทีมงานสตาฟฟ์โค้ช

อีกเรื่องที่รู้สึกก็คือ ทำไมสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติไทย ชุดนี้มันน้อยจัง ยิ่งตอนนี้ไม่มี เซอร์เด็จ เป็นผู้ช่วยแล้ว สตาฟฟ์โค้ชที่เป็นผู้ช่วยจริงๆ แทบไม่มี นอกจาก วสพล แก้วผลึก ที่เป็นผู้ช่วยโค้ชก็จริง แต่ไม่ได้เป็นโค้ชฟุตบอลอาชีพ คุณต้องหาผู้ช่วยที่เป็นโค้ชฟุตบอลจริงๆ และถ้าเป็นคนไทยด้วยยิ่งดี ลำพังแค่โค้ชหนึ่งฤทัย สระทองเวียน ไม่พอ แถมยังต้องเพิ่มโค้ชกองหลัง โค้ชกองหน้ามาด้วย เพราะเราเสียประตูง่าย และยิงไม่คม ส่วนโค้ชประตูมีอยู่แล้วคือ อัมรินทร์ เยาดำ 

5.ศึกษาคู่แข่งให้มากขึ้น

จริงๆ เรื่องการศึกษาคู่แข่ง โค้ชทุกคนต้องทำการบ้านอยู่แล้ว แต่จากเกมกับมาเลเซีย ก็รู้สึกว่าการศึกษาข้อมูลของคู่แข่งเรายังทำได้ไม่ดี นั่นเป็นเพราะเรารู้จักคู่แข่งน้อยเกินไป ในศึกชิงแชมป์อาเซียนเราต้องเจออีกหลายทีม แม้บางทีมจะดูอ่อนกว่าเรา แต่ก็ประมาทไม่ได้ และต้องศึกษาคู่แข่งให้มากขึ้นกว่าเดิม

6.ไม่ต้องสนใจโซเชี่ยล

สุดท้ายก็คงเป็นเรื่องของโลกโซเชี่ยล ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะตัดขาดกับมันไปเลยไม่ต้องสนใจ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ฟังเสียงวิพากษณ์วิจารณ์จากแฟนบอล แต่ต้องฟังคนที่วิจารณ์อย่างจริงจังเพื่อหวังเห็นทีมชาติไทยดีขึ้น ส่วนใครที่มาด่าแบบไร้เหตุผลไม่ต้องไปสนใจมัน เข้าใจว่าการตัดขาดไปเลยคงยาก เราเองก็ยังต้องใช้มันในการทำงาน การสื่อสารต่างๆ เพียงแต่ว่าอย่าไปสนใจมาก และอย่าไปตอบโต้อะไรบนโซเชี่ยลทั้งนั้น เพราะงานของคุณอยู่ในสนาม ทำผลงานออกมาให้ดี แล้วมันจะลบล้างเสียงวิจารณ์ในโซเชียลไปเอง

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline