logo-heading

ก่อนที่จะไปลงรายละเอียดกับการประเดิมด้วย 3 แต้มสวยๆ ของ ทีมชาติไทย กับเกมที่ถล่ม ทีมชาติบรูไน 5-0 ต้องไปว่ากันที่ 11 ผู้เล่นของ ช้างศึก ในนัดนี้ก่อน 

โดย มาโน่ โพลกิ้ง กุนซือใหญ่ทีมชาติไทย จัดทัพใหญ่ลงสนามซึ่งยกเซ็ต 11 ผู้เล่นมาจากเกมอุ่นเครื่องที่ถล่ม เมียนมาร์ 6-0 

ส่วนเรื่องของรูปเกมเป็นทีมชาติไทยที่เล่นอยู่ฝ่ายเดียว พร้อมกับมีสถิติยิงมากถึง 30 ครั้ง และจบเกมด้วยการชนะ 5-0 เรามาว่ากันหน่อยเห็นอะไรจากเกมที่ผ่านมาบ้าง ?? 

 

อย่างแรก มาโน่ โพลกิ้ง ไม่ประมาทจัดทัพใหญ่ไฟกระพริบ แม้จะเจอกับคู่แข่งที่แกร่งน้อยที่สุดในกลุ่ม แต่ความยากของเกมแรกทำให้กุนซือทีมชาติไทยจัด 11 ผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนาม ทั้ง กิตติพงษ์ ภูแถวเชือก เฝ้าเสา, กฤษดา กาแมน คุมเกมรับ, ธีราทร บุญมาทัน บิ้วเกมตรงกลางร่วมกับ สารัช อยู่เย็น, พ่วงด้วยหน้าคู่ อดิศักดิ์ ไกรษร กับ ธีรศิลป์ แดงดา ล่าตาข่าย

 

อย่างที่สอง ช้างศึก คุมเกมได้หมดตั้งแต่ต้นจนจบ ข้อนี้ต้องขอชื่นชมวิธีการเล่นและรูปแบบของ ทีมชาติไทย ที่ไม่ลดละความพยายามในการครองบอล เซ็ตเกมรุกในรูปแบบต่างๆ หาการเข้าทำในทุกๆ รูปแบบ ทั้งการตักข้ามกองหลัง ทั้งการต่อบอลหน้ากรอบเขตโทษหาช่องเจาะเข้าทำ หรือ บอลริมเส้นครอสเข้ากลาง มีให้เห็นตลอดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่เราพยายามเล่นอย่างเต็มที่แม้จะเจอกับทีมคู่แข่งที่อ่อนที่สุดในกลุ่มก็ตาม 

อย่างที่สาม คลาสบอลแบบเหนือๆ ของ "โก๋อุ้ม" การมีส่วนร่วม 4 จาก 5 ประตูที่ ทีมชาติไทย ยิงได้ในนัดนี้เป็นเครื่องบ่งบอกคุณภาพของตัว ธีราทร บุญมาทัน ได้เป็นการดี และเป็นการตอกย้ำว่าการดันเจ้าตัวขึ้นมาเล่นกองกลาง โก๋อุ้ม ทำได้ดีมากๆ ในแง่ของการเชื่อมเกมและการแบ่งเบาภาระของ สารัช อยูเย็น รวมไปถึงยังคอยเป็นตัวจ่ายบอลชั้นเลิศอีกต่างหาก ซึ่งถือว่า มาโน่ ได้ลองใช้ ธีราทร ในแบบที่เจ้าตัวอยากเล่นมากที่สุด ผลจึงออกมาดีอย่างที่เห็นกัน 

 

อย่างที่สี่ กองหน้าคู่ดีต่อ "ธีรศิลป์ แดงดา" ข้อนี้เคยเขียนให้ได้อ่านกันแล้วว่า ธีรศิลป์ แดงดา ในวัย 34 ปียังเล่นทีมชาติได้สบายๆ และถ้ามีชอยส์การเล่นแบบหน้าคู่จะช่วยให้เขาเล่นได้ง่ายและไม่เหนื่อยจนเกินไป โดยเกมกับ บรูไน เราจะเห็นจังหวะการลงมาเป็นตัวต่ำ คอยพักบอล ไล่เก็บบอล และ จ่ายให้น้องๆ เล่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังไม่วายโฉบขึ้นหน้าไปทำประตูได้ด้วย ซึ่งดูแล้วรูปแบบการยืนหน้า 2 ตัวเหมาะมากๆ กับการเล่นโดยมี "มุ้ย" เป็นตัวฟรีในแดนหน้า 

 

และอย่างสุดท้าย "นิวฉ่ำ" ตัวยิงไกลและตัวเปลี่ยนเกมชั้นดี แม้ตลอด 90 นาทีเราจะคุมทีมได้ดีกว่าและมีโอกาสเข้าทำมากมาย แต่หนึ่งสิ่งที่ยังมีน้อยคือการยิงไกลจากแถวสอง อาจจะด้วยเพราะการอยากต่อเกมเข้าไปทำประตู ทำให้ผู้เล่นตัวจริงเราเลือกยิงไกลน้อย และถึงจะมีแต่ก็ไม่ค่อยตรงกรอบเท่าไหร่ ดังนั้นพอได้รับโอกาสลงมาสนามของ พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี เราจะได้เห็นการส่องไกลจากเขาแน่ๆ เพราะมันเหมือนเป็นเครื่องหมายการค้าของ นิวฉ่ำ เองด้วย และทุกอย่างก็ลงล็อคด้วยการปิดจ็อบแบบสวยๆ กับการยิงไกลเข้าไปของ พีรดนย์ และเป็นประตูที่ 5 ของ ทีมชาติไทย เมื่อวานนี้ 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline