logo-heading

สุดสัปดาห์นี้ ฟุตบอลไทย ฤดูกาลใหม่จะเปิดฉากอย่างเป็นทางการ ประเดิมด้วยศึกแชมป์ชนแชมป์อย่าง "ฟุตบอลไดกิ้น ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 2023" ซึ่งปีนี้เป็นการพบกันของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของ 3 แชมป์เมื่อปีที่แล้ว พบกับ ทรู แบงค็อก ในฐานะรองแชมป์ไทยลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยคู่นี้จะลงฟาดแข้งกันในวันเสาร์ที่ 5 สิงหาคมนี้ ที่ราชมังคลากีฬาสถาน เวลา 18.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง PPTV HD 

สำหรับศึกไทยแลนด์ ชปค. ก็ถือเป็นธรรมเนียมที่จะนำแชมป์ไทยลีก และแชมป์เอฟเอ คัพ ของฤดูกาลที่ผ่านมา มาเตะชิงถ้วยกันเพื่อเป็นสัญาณก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ในอีกสัปดาห์ข้างหน้า

อย่างที่รู้กันว่าในปีนี้ ฟุตบอลไทยลีก ปรพสบปัญหามากกมายก่อนเริ่มฤดูกาล โดยเฉพาะเรื่องของสิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ที่ส่งผลต่อเงินสนับสนุนในการเตรียมทีมของแต่ละสโมสรด้วย ทำให้กระแสฟุตบอลไทยในซีซั่นนี้ ก็ดูจะเงียบเหงาไปพอสมควร

แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าแฟนบอลไทยที่ติดตามดูไทยลีก และมีทีมรักทีมโปรดของตัวเองอยู่แล้ว ก็คงจะใจจดใจจ่อ และก็ตื่นเต้นกับฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อไทยลีกเริ่มเปิดฤดูกาล กระแสต่างๆ มันก็จะตามมาเรื่อยๆ

ไดกิ้น ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 2023

เรามาว่ากันที่ฟุตบอลไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ ในปีนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในฐานะแชมป์ไทยลีก และก็แชมป์เอฟเอ คัพ ทำให้คู่ต่อสู้จึงเป็นรองแชมปืของไทยลีกอย่าง ทรู แบงค็อก ที่จะได้ลงเตะฟุตบอลรายการนี้เป็นครั้งแรก ขณะที่บุรีรัมย์ ลงเล่นรายการนี้มาแล้ว 3 ครั้ง ได้แชมป์แค่ครั้งเดียวเมื่อปี 2019 โดยเอาชนะเชียงราย ยูไนเต็ด 31 และเป็นรองแชมป์ 2 ครั้ง 2018 แพ้จุดโทษเชียงราย สกอร์รวม 8-7 โดยเสมอกันในเวลา 2-2 และปีล่าสุด 2022 พ่ายให้กับบีจี ปทุมฯ 3-2

แต่ถ้านับเฉพาะถ้วยใบใหม่ใบนี้ บุรีรัมย์ ก็ยังไม่เคยสัมผัสถ้วยแชมป์เช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าทีมไหนจะเป็นผู้ชนะ และได้ชูถ้วยในวันเสาร์นี้ ก็จะเป็นการสัมผัสถ้วยแชมป์ใบใหม่ของไทยแลนดื ชปค.เป็นครั้งแรก

พูดถึงการเจอกันเมื่อฤดูกาลที่แล้วของทั้งสองทีม เจอกันถึง 4 นัดทุกรายการ ปรากฎว่าบุรีรัมย์ นั้นทำได้ดีกว่า โดยเอาชนะไปได้ 3 นัด ขณะที่ บียู ชนะได้แค่นัดเดียว โดยในศึกไทยลีก เลกแรก บุรีรัมย์ ชนะ 1-0, เลกสอง ทรู แบงค็อก ชนะ 4-3, รีโว่ คัพ รอบ 8 ทีม บุรีรัมย์ ชนะ 3-0 และล่าสุดในเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ บุรีรัมย์ ชนะ 2-0

แน่นอนว่าทีมบุรีรัมย์ เองก็ค่อนข้างมั่นใจด้วยผลงานที่เจอกันและเรื่องตัวผู้เล่นในเวลานี้ ก็ดูจะพร้อมกว่า ซึ่งก็มั่นใจว่าจะเอาชนะและคว้าแชมป์ไปครองได้

ในขณะเดียวกัน ทรู แบงค็อก เองที่พลาดท่าแพ้มาในรอบชิงเอฟเอ คัพ รวมทั้งได้รองแชมป์ไทยลีกมาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก็ต้องการจะล้างแค้น ทบต้นทบดอกด้วยการพลิกล็อคเอาชนะบุรีรัมย์ และคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้เช่นกัน

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

เรามาดูเรื่องของขุมกำลังทั้งสองทีม สำหรับบุรีรัมย์ ที่มี มาซาทาดะ อิชิอิ คุมทัพ ก็ได้นักเตะใหม่มาหลายคน แต่ละคนดีกรีไม่ธรรมดาอย่าง ตัวต่างชาติก็จะมี คิม มิน ฮยอก ปราการหลังดีกรีทีมชาติเกาหลีใต้, รามิล เซย์ดาเยฟ หัวหอกดีกรีทีมชาติอาร์เซอร์ไบจาน และ นิโคเลา คาร์โดโซ่ ปีกชาวอิตาลีอดีตนักเตะของทีมนาโปลี 

รวมทั้งตัวไทยได้ สุพร ปีนะตากาโพธิ์ กับ ลีออน พิชญ เจมส์ เข้ามา ขณะที่ขุมกำลังเก่าก็ยังมี ธีราทร บุญมาทัน, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี, ศุภชัย ใจเด็ด, โกรัน เคาซิซ และ ลอนซาน่า ดุมบูญ่า ตัวแค่รายชื่อตรงนี้ก็ต้องบอกว่าปึ๊กทุกขุมกำลัง

ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

ขณะที่ทีมบียู ของ "โค้ชแบน" ธชตวัน ศรีปาน ขุมกำลังในฤดูกาลนี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากฤดูกาลก่อนมาก ได้นักเตะใหม่ 2 ราย คือ บุญทวี เทพวงค์ แบ็กขวาจากเมืองทอง และ บาสเซล จราดี้ จอมทัพหมายเลข 10 ชาวเลบานอน ที่มาแทน เฮแบร์ตี้ เฟอร์นันเดส ที่ย้ายออกไป

ส่วนนักเตะไทยส่วนใหญ่เป็นการดึงตัวกลับมาอย่าง ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม ที่กลับมาจากพีที ประจวบ, อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ กลับมาจากราชบุรี และ ปฎิวัติ คำไหม ที่กลับมาจากเมืองทอง ขณะที่ขุมกำลังเดิมก็ยังมี เอเวอร์ตัน, มานูเอล ทอม เบียร์ห, ปกเกล้า อนันต์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, มะห์มูด ดาฮัดดา และ วิลเลน โมต้า ที่ยังอยู่กับทีมทั้งหมด

อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากขุมกำลังและความพร้อมต่างๆ ก็ต้องยอมรับว่า บุรีรัมย์ ดูดีกว่า แต่ฟุตบอลนัดเดียว อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในรายการนี้ ที่ทีมเหนือกว่ามักจะไม่ชนะ และดูเหมือนว่าบุรีรัมย์ ก็จะไม่ค่อยถูกโฉลกเท่าไหร่ ไม่เหมือนตอนเป็นฟุตบอลถ้วย ก. ที่เตะกับใครก็ชนะได้ตลอด

เชื่อว่าวันเสาร์นี้ จะเป็นเกมที่มันส์ และเร้าใจแน่นอน ส่วนทีมไหนจะเป็นแชมป์ ก็ต้องมารอลุ้นกัน เอาใจช่วยทั้งสองทีม แล้วไปเจอกันที่ราชมังฯ วันเสาร์นี้นะครับ (ขอให้ฝนไม่ตกเด้ออออ!!!!!!)

#ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline