logo-heading

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่า 3 รายการเมื่อฤดูกาลที่แล้ว กลับมาเป็น "บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด" ทีมเดิมที่เรารู้จักอีกครั้ง หลังโชว์ฟอร์มได้ไฉไลในเกมล่าสุดของศึกไทยลีก ถล่มลำพูน วอริเออร์ 3-0 ปลดล็อคคว้าชัยเกมแรกของฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ

ก่อนหน้านี้ทีมแชมป์เซราะกราวเริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ดีเท่าไหร่ ตั้งแต่ศึกไดกิ้น ไทยแลนด์ ชปค. ที่แพ้ให้กับบียู 2-0 แบบสู้ไม่ได้ ต่อด้วยนัดเปิดฤดูกาลทำได้แค่บุกไปเสมอกับขอนแก่น ยูไนเต็ด 0-0 ชนิดที่เกมน่าเบื่อและดูจืดชืดมาก

บวกกับกระแสข่าวภายในทีมเรื่องตำแหน่งกุนซือของ อิชิอิ ที่ไม่ชัดเจน ทำให้ผลงานช่วงแรกดูน่าเป็นห่วง และฟอร์มนักเตะแต่ละคนก็ตกลงไปด้วย ตัวต่างชาติมาให้ก็ถูกเพ่งเล็งว่าจะใช่หรือเปล่าสำหรับบุรีรัมย์

จนกระทั่งมาถึงเกมล่าสุดวานนี้ (20 ส.ค.66) ที่เจอกับลำพูน ก็ได้เห็นอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปของ "บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด" ที่แตกต่างไปจากเดิมในช่วงสองนัดก่อนหน้านั้น

เกมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาถือเป็นการคุมทีมนัดแรกในฐานะกุนซือใหญ่เต็มตัวของ "อาเธอร์ ปาปาส" เฮดโค้ชชาวออสเตรเลีย ที่ขึ้นมาคุมทัพแทน "มาซาทาดะ อิอิชิ" ที่จะไปเป็นประธานเทคนิคให้กับทีมชาติไทย

แม้ว่าที่ผ่านมาตั้งแต่เกมเจอขอนแก่น ก็จะเป็น ปาปาส ที่ออกมาสั่งการอยู่ที่ข้างสนามแล้ว แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่มาเกมนี้ถือว่าออฟฟิเชี่ยล และเป็นนัดแรกของกุนซือแดนกิ้งโจ้ในการคุมทัพปราสาทสายฟ้า

ถ้าย้อนกลับไป 2 นัดแรก ทั้งในไดกิ้น คัพ กับเกมพบขอนแก่น เอาจริงผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดตัวและเลือกผู้เล่น แต่รูปเกมการเข้าทำดูจะไม่ค่อยหลากหลายและออกแนวทื่อๆ ไปหน่อย โดยส่วนใหญ่จะเป็นการบอมหรือเปิดเข้าไปให้ ลอนซาน่า ดุมบูญ่า ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหอกตัวเป้าคอยจบสกอร์ แต่สองนัดนั้นต้องบอกตามตรงว่าไม่เวิร์ค 

แต่มาในเกมล่าสุด ปาปาส เลือกที่จะดร็อป ดุมบูญ่า และเลือก นิโคเลา คาร์โดโซ่ ปีกชาวอิตาลี ที่แฟนบอลอยากเห็นฟอร์มเขามากๆ แต่ไม่ได้ลงสนามใน 2 นัดแรก แต่ก็มาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมนี้ในตำแหน่งปีกขวา โดยขยับเอา ศุภชัย ใจเด็ด ไปยืนหน้าเป้าแทน และ โกรัน เราซิซ ขึ้นมาเป็นตัวรุก

อีกตำแหน่งที่น่าสนใจคือการส่ง สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ แบ็กขวาคนใหม่ยืนประจำการแทนที่ของ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม กัปตันทีมที่ยังไม่ฟิต รวมทั้ง รัตนากร ใหม่คามิ ที่ก่อนหน้านี้ก็จะเป็นตัวเลือกลองลงมาจาก "กัปตันต้น"

นี่เป็นสี่ตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในเกมล่าสุด กับ 2 เกมแรกที่ผ่านมาทั้งไดกิ้น คัพ และ ไทยลีกนัดเปิดสนาม หนึ่งคือศุภชัย ใจเด็ด ไปยืนหน้าเป้าแทน ดุมบุญ่า สองคือ โกรัน เคาซิซ ขยับขึ้นมาเล่นตัวรุก สาม นิโคเลา ยืนปีกขวา และ สุพร ประจำการแบ็กขวา ส่วนตรงกลางจริงๆ ในเกมล่าสุดก็ดร็อป พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี และให้รัตนากร เป็นตัวจริงแทน แต่ตำแหน่งนี้ผมมองว่าไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะใช้ใครลงสนาม

ข้อแตกต่างก็คือเกมรุกดูมีมิติมากขึ้น นิโคเลา ก็เชื่อมเกมประสานงานกับเพื่อนได้ดี แม้จะยังไม่ได้โชว์ของอะไรมาก ขณะที่ รามิล เชย์ดาเยฟ ตัวรุกหมายเลข 10 คนใหม่ที่ถูกวิจารณ์หนักก็มาปลดล็อคทำประตูได้ โกรัน เคาซิซ ก็ดูจะคืนฟอร์มเก่งเมื่อฤดูกาลที่แล้ว สุพร จัดแอสซิสต์ไปสอง

เมื่อไม่มี ดุมบูญ่า เป็นเป้าใหญ่ก็ทำให้ตัวรุกคนอื่นๆ มีโอกาสมากขึ้น และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีอยู่คนเดียวที่ยังโชว์ฟอร์มไม่ออกในสามเกมแรก นั่นก็คือ ศุภชัย ใจเด็ด ดาวซัลโวเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งบางทีอาจต้องให้เวลาเจ้าตัวได้ปรับจูนอีกเล็กน้อยกับแนวทางของกุนซือคนใหม่

เพราะจะว่าไป ศุภชัย เองก็เป็นนักเตะที่ถูกปรับตำแหน่งมาโดยตลอด เดี๋ยวยืนหน้าเป้าบ้าง ออกไปริมเส้นบ้าง เป็นหน้าต่ำบ้าง บางทีไปเป็นมิดฟิลด์ตัวรับก็มี บางทีเล่นได้หลายตำแหน่งมันก็เป็นข้อดี และพอถูกจับไปเล่นตรงนู้นทีตรงนี้ทีก็มีงงเหมือนกัน แต่เชื่อว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าอาร์มยิงประตูได้ ความมั่นใจจะกลับมาและจะน่าจะยิงต่อเนื่องได้เรื่อยๆ

ฟอร์มในเกมล่าสุดถือเป็นสัญญาณให้ทุกทีมได้เห็นแล้วว่า "บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด" ของจริงกลับมาแล้ว และยังคงเป็นเต็งหนึ่งในการป้องกันแชมป์เหมือนเดิม ซึ่งท้ายที่สุดต้องมารอดูว่าจะยืนระยะได้ยาวๆ และจะสามารถคว้าแชมป์ไทยลีก 3 สมัยติดได้เป็นทีมแรกตามที่ท่านประธานสโมสรได้บอกไว้หรือไม่!!

 

#ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline