logo-heading

ฟุตบอลไทยลีก ฤดูกาล 2023/24 รูดม่านปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อย หลังจบเกมนัดสุดท้ายไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่การแข่งขันนั้นเข้มข้นเร้าใจ ไม่แพ้ฤดูกาลก่อนๆ 

โดยเฉพาะนัดปิดฤดูกาลที่มีการยิงประตูรวมกันทั้งสิ้น 41 ประตูด้วยกัน จากทั้ง 8 คู่ 8 สนาม ถือเป็นสัปดาห์ที่ยิงกันเยอะสุดของฤดูกาล สมกับเป็นเกมสุดท้ายที่เล่นตอบแทนแฟนบอล

วันนี้เราจะมาสรุปภาพรวมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้ ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง 

บทสรุปไทยลีก ฤดูกาล 2023/24 กับแชมป์สมัยที่ 9 ของ \"บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด\"

1.บุรีรัมย์ ป้องกันแชมป์อีกสมัย

ในส่วนของแชมป์ไทยลีก ซีซั่นนี้ อย่างที่เรารู้กันก็คือ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ที่ป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัย สามฤดูกาลติดต่อกัน และเป็นแชมป์ไทยลีก สมัยที่ 9 ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมและไร้คู่แข่ง โดยบุรีรัมย์ เก็บได้ 69 คะแนน จาก 30 นัด น้อยกว่าฤดูกาลที่แล้วที่ทำได้ 74 คะแนน

โดยซีซั่นนี้ทีมแชมป์เซราะกราวใช้บริการโค้ชทั้งหมด 4 คนด้วยกัน เริ่มจาก มาซาทาดะ อิชิอิ, อาเธอร์ ปาปาส, จอร์จินโญ่ ที่เป็นคนพาทีมคว้าแชมป์แต่อยู่ไม่ถึงนัดสุดท้าย และไม่ได้ฉลองแชมป์กับทีม โดยนัดปิดฤดูกาลเป็น เอเมอร์สัน เปไรร่า โค้ชคนที่ 4 ที่คุมทีม ซึ่งฤดูกาลหน้าต้องมารอดูว่า บุรีรัมย์ จะคว้าแชมป์ 4 สมัยติดต่อกันเป็นทีมแรก เหมือนที่ แมนฯ ซิตี้ ทำได้ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ หรือไม่ 

2.อันดับเงินรางวัล 1-8

สำหรับเงินรางวัลในฤดูกาลนี้ ที่ทีมอันดับ 1-8 จะได้ไป ประกอบไปด้วย

อันดับ 1 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 10,000,000 บาท
อันดับ 2 ทรู แบงค็อก 3,000,000 บาท  
อันดับ 3 การท่าเรือ เอฟซี 1,500,000 บาท
อันดับ 4 บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 800,000 บาท
อันดับ 5 เมืองทอง ยูไนเต็ด 700,000 บาท 
อันดับ 6 ราชบุรี เอฟซี 600,000 บาท
อันดับ 7 อุทัยธานี เอฟซี 500,000 บาท
อันดับ 8 ขอนแก่น ยูไนเต็ด 400,000 บาท

3.โควต้าถ้วยเอเชีย

ขณะที่เรื่องโควต้าไปเตะฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า โดยทีมจากไทยนั้นได้โควต้า 1+1+1 ซึ่งซีซั่นใหม่ของฟุตบอลถ้วยเอเชีย มีการปรับรูปแบบและชื่อการแข่งขันใหม่ เป็นเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก อีลิท (ACL Elite) ซึ่งเป็นถ้วยใหญ่สุด มี 24 ทีมชั้นนำของเอเชียEliteลงแข่งขัน และเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2 (ACL2) ถ้วยรองลงมามี 32 ทีมแข่งขัน

โดยแชมป์ไทยลีก คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะได้เล่น (ACL Elite) รอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติ 

โควต้าต่อมาคือแชมป์เอฟเอ คัพ ซึ่งคู่ชิงคือ ทรู แบงค็อก พบ ดราก้อน ปทุมวัน กาญจนบุรี จาก T2 ซึ่งผู้ชนะและคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ จะได้สิทธิ์เพลย์ออฟ  (ACL Elite) หากไม่ผ่านเพลย์ออฟจะได้ลงไปเล่นใน (ACL2) แทน 

และโควต้าสุดท้ายรองแชมป์ไทยลีก ก็คือ ทรู แบงค็อก ซึ่งจะได้ไปเตะ (ACL2) รอบแบ่งกลุ่ม แต่ทั้งนี้หาก บียู ไปคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สิทธิ์นี้จะตกไปเป็นของทีมอันดับ 3 อย่างการท่าเรือ เอฟซี ที่จะได้ไปเตะ (ACL2) ส่วน บียู จะได้ไปเพลย์ออฟถ้วยใหญ่ในโควต้าของแชมป์เอฟเอ คัพ

4.สามทีมตกชั้น

ขณะที่ 3 ทีมตกชั้น ซึ่งก็รู้กันไปก่อนหน้านี้แล้ว คือ ชลบุรี เอฟซี ที่ตกชั้นครั้งแรกในรอบ 18 ฤดูกาล ทีมต่อมาคือ โปลิศ เทโร ที่ก็ตกชั้นเป็นครั้งที่ 2 และทีมสุดท้ายคือ ตราด เอฟซี ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาปีเดียวก็กลับไป T2 ในซีซั่นหน้าอีกครั้ง

ขณะที่ 3 ทีมน้องใหม่ที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด ประกอบไปด้วย นครราชสีมา เอฟซี แชมป์ T2, หนองบัว พิชญ รองแชมป์ ซึ่งสองทีมนี้เพิ่งตกชั้นไปก็กลับมาได้ในปีเดียว ขณะที่ทีมสุดท้ายคือ ระยอง เอฟซี ที่ชนะเพลย์ออฟ นครศรี ยูไนเต็ด เมื่อสุดสัปดาห์ ทำให้ทีมม้านิลมังกร ได้กลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง

5.ดาวซัลโว

ปิดท้ายที่อันดับดาวซัลโว ซึ่งขับเคี่ยวกันถึงนัดสุดท้าย ปรากฏว่า ศุภชัย ใจเด็ด ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ซัดแฮตทริกได้ในเกมถล่ม ขอนแก่น ยูไนเต็ด 8-2 ยิงเพิ่มเป็น 21 ประตู แซงเข้าป้ายคว้าดาวซัลโวไทยลีก ฤดูกาลนี้ไปครอง ซึ่งถือเป็นการคว้าดาวซัลโว 2 ฤดูกาลติดต่อกันของ ศุภชัย ใจเด็ด ด้วย ซึ่งฤดูกาลก่อนยิงไปได้ 19 ประตู โดยอันดับสองคือ วิลเลน โมต้า ของ ทรู แบงค็อก ที่ยิงได้ 20 ประตู

นอกจากนี้ผู้เล่นที่ยิงประตูเยอะสุดในเลกสองคือ กิลเยร์เม่ บิสโซ่ลี่ ของบุรีรัมย์ ที่ยิงไป 16 ประตู ในเลกสองเลกเดียว ส่วนนักเตะไทยอีกคนที่ยิงประตูได้มากสุดรองจาก ศุภชัย ก็คือ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ของการท่าเรือ เอฟซี ที่ยิงไปได้ 15 ประตู

ทั้งนี้ก็เป็นบทสรุปภาพรวมของฟุตบอลไทยลีก ฤดูกาล 2023/24 ที่เพิ่งจะจบไป แต่ทั้งนี้ฟุตบอลไทย ซีซั่นนี้ยังไม่จบดี เพราะยังเหลือนัดชิงบอลถ้วยอีกสองรายการ คือ รีโว่ คัพ ระหว่าง บีจี ปทุม พบกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด

และช้างเอฟเอ คัพ ระหว่าง ทรู แบงค็อก พบ ดราก้อน ปทุมวัน กาญจนบุรี ซึ่งทั้งสองรายการจะไปเตะกันหลังโปรแกรมทีมชาติ ช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งต้องรอทางสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ กำหนดวันแข่งขันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline