ในทีแรกผมคิดอยู่นานว่าจะเขียนรีวิวเรื่องนี้ดีไหม เหตุหลักๆคือมันเป็นหนังในดวงใจใครหลายคน คงมีคนที่อินกับการดูหนังเรื่องนี้ไปแล้วหลายๆรอบและหยิบยกคำคมมากมายจากหนังมาเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนชีวิต
แม้ว่าลึกๆผมจะชอบหนังเรื่อง Once ที่เป็นผู้กำกับคนเดียวกันคือจอห์น คาร์นีย์ แต่ Begin Again คือใบเบิกทางชั้นยอดที่ทำให้ผู้คนได้รู้จักเขามากยิ่งขึ้นในวงการหนัง โดยที่เขาเจียระไนออกมาได้สุดแส้นโรแมนติกผสมผสานกับเสียงเพลงร้อยยิ้มปนเปไปกับความมุ่งหน้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ๆละทิ้งเรื่องเก่าๆทิ้งไป
เรื่องราวของ 2 คน ชาย 1 หญิง 1 ที่เกิดความเบื่อหน่ายท้อแท้กับการใช้ชีวิตในนิวยอร์ก เมืองที่แสนวุ่นวาย คนหนึ่งคือโปรดิวเซอร์ลูก 1 ที่เวลานี้ขาลงสุดขีดไม่สามารถประสบความสำเร็จในการปั้นศิลปินได้มาตลอด 7 ปี แถมชีวิตครอบครัวก็พังจับได้ว่าแฟนนอกใจ ส่วนลูกสาวก็แก่แดดเกินวัย ส่วนอีกคนเธอเป็นนักแต่งเพลงอิสระที่ตั้งหน้าตั้งตามาที่นิวยอร์คกับคนรักที่เป็นนักร้องดังเพื่อหวังจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เธอถนัดมากที่สุดชีวิต แต่กลับพบความจริงที่ว่าแฟนตัวเองไปมีผู้หญิงใหม่เป็นพนักงานในค่ายเพลง
คน2 คนที่ชีวิตรักล้มเหลวเสียสูญไปแล้ว แต่โชคชะตาเล่นตลกแต่กลับมาพบกันในบาร์แห่งหนึ่ง และฝ่ายชายเกิดความประทับใจในเสียงร้องและเนื้อเพลงของผู้หญิง ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ควรปล่อยเพชรเม็ดงามรายนี้ให้เป็นแค่คนใช้ชีวิตที่ไร้จุดหมายไม่ได้อีกแล้ว และมันก็คือลู่ทางที่จะทำให้โปรดิวเซอร์ตกอับกลับมาทำงานในสิ่งที่เขารักอีกครั้ง ความรู้สึกดีๆของทั้ง 2 ฝ่ายจึงเกิดขึ้น
.
ข้อดี
Begin Again น่าจะเป็นผลงานที่ดูจะจับต้องง่ายตลาดกว่า Once หนังดำเนินเรื่องใช้ตัวละครหลัก 2 คนบอกเล่าเรื่องราวให้รู้ที่มาที่ไป ปูพื้นหลังตัวละครในช่วง flashback ที่เกิดขึ้นว่าทำไมเหตุการณ์ถึงเป็นแบบนั้น โดยที่มีเหตุผลมารองรับอยู่ ไม่มีประเด็นตรงไหนที่ดูงง
ผมชอบความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากคนแปลกหน้าเพื่อนร่วมงานกลายเป็นเพื่อนสนิทที่ต่างคนอกเข้าใจชีวิตอีกฝ่าย
บทหนังค่อนข้างนำเสนอหลากหลายประเด็นทั้ง ความรักความเจ็บปวด ที่บ้างครั้งก็รู้สึกถวิลหาความทรงจำกับคนรักเก่า คิดถึงสิ่งที่เคยทำร่วมกัน หรือจะเป็นประเด็นการที่ลุกขึ้นสู้เพื่อละทิ้งความรู้สึกเก่าๆ มันไม่ใช่การปลอบใจตัวเอง แต่มันคือสิ่งที่เราต้องรู้จักเริ่มต้นใหม่ โดยปราศจากเรื่องเก่าๆที่มาบั่นทอนจิตใจ
หลังจากนั้นหนังก็ค่อยๆนำพากลับไปสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน ที่แดน ตัดสินใจพา เกรต้า ไปทำเพลงหาวงแบ็คอัพมาเล่น พาทัวร์หลากหลายสถานที่ในการอัดเพลงทำอัลบั้ม ซึ่งเราก็ได้เห็นว่าในยุคสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลแล้ว สามารถอัดเพลงโดยไม่ต้องไปพึ่งค่ายเพลง หาห้องอัดหรูๆ ว่าง่ายๆก็แอบเสียดสีวงการดนตรียุคปัจจุบันที่มองแต่ของดังขึ้นหึ่ง มากกว่าการสร้างคนมีฝีมือแต่ไร้โอกาส
เสน่ห์ของหนังอีกประเด็นหนึ่งคือเพลงประกอบที่เพราะลึกซึ้งกินใจที่ซัพพอร์ททำให้การเล่าเรื่องความรักมันไหลลื่น จังหวะการปล่อยเพลงออกมามันค่อนข้างถูกที่ถูกเวลา ให้อารมณ์ความรู้สึกที่ดีมาก ซึ่งเพลงหลักอย่าง Lost Star นี่แหละที่ทำให้รู้สึกอินมากและขนลุก
.
นักแสดง
มาร์ค บัฟฟาโล่ เห้ยไม่ใช่ มาร์ค รัฟฟาโล่ หรือพี่ฮัค จาก Avengers เล่นเป็นโปรดิวเซอร์ที่ชีวิตโคตรหดหู่ แต่สายตาที่เฉียบแหลมในการพบนักร้องอิสระที่ร้องเพลงได้Feeling ธรรมชาติมากๆ ช่วงแรกที่ดูทุเรศมาก แต่พอกลางเรื่องพี่แกดูมีพลังในการสร้างสรรค์เพลงเพื่อช่วยนางเอก ผมชอบที่ได้เห็นเขาในบทโปรดิวเซอร์มากนะ
ส่วนเคียร่า ไนท์ลีย์ จะมีใบหน้าที่สวยมีเอกลักษณ์แล้ว เรื่องนี้เธอยังมาพร้อมกับ เสียงอันไพเราะ ผสมผสานกับการแสดงอันยอดเยี่ยม ทำให้ในหลายๆครั้งเราคงรู้สึกคล้อยตามไปว่าเหมือนดูคน 2 คนสิ้นหวังแล้วพลิกตัวเองกลับมาลุกขึ้นสู่ชีวิตอีกครั้ง
ขณะอดัม ลัลลาน่า เห้ย อดัม เลอวีน นี่คือการเล่นหนังเรื่องแรกโดยที่ไม่เอาค่าตัวแม้แต่บาทเดียว คือทึ่งกับสิ่งที่แกเลือกทำ ไหนๆจะสลัดคราบป็อปสตาร์มาเป็นนักดนตรีซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากชีวิตจริงมากเท่าไหร่ ฉากที่เข้ากับ เคียร่า ไนท์ลีย์ ผมชอบมากมันเหมือนการเล่าที่มาที่ไปได้ชัดเจน ซีนที่พี่แกร้องเพลง Lost star นี่แหละดีสุดในหนังและมันก็กลายเป็นเพลย์ลิสต์ที่ติดหูผู้คนมากมายจนถึงปัจจุบัน
.
สรุป
ดูกี่ครั้งก็รู้สึกประทับใจ น้ำตาคลอหลายๆฉาก แม้ว่าอาจจะไม่ได้จบแบบ Happy Ending แต่ตลอดทั้งเรื่องบทหนังมีเสียงเพลงเพราะๆมาซัพพอร์ทอยู่ตลอดเวลา แถมแง่คิดดีๆที่จะมาช่วยเติมเต็มคุณให้ลุกขึ้นสู้กับชีวิตอีกครั้ง
แจกคะแนนรีวิว 9/10
หนังมีให้ชมแบบถูกลิขสิทธิ์ผ่านทาง Monomax และ Itunes