logo-heading
ครั้งแรกตอนที่รู้ข่าวว่าจะมีสารคดีชีวิตของเลียม กัลลาเกอร์ เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมปีก่อน ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก เหตุผลเพราะจะมีการเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของการแยกวงและการดำเนินชีวิตที่อยู่ในช่วง ตกต่ำสุดขีดของชีวิตไปจนถึงการหาแรงจูงใจกลับมาผงาดเป็นศิลปินเดี่ยว ซึ่งตลอดการชมหนังเล่าเรื่องได้เห็นถึงแง่มุมในชีวิต ที่เขาดูจะดิบลงกว่าเก่า แต่ไม่ทิ้งความกวนตีนเอาไว้และมันทำให้มีผู้คนมากมาย รอที่จะเสพย์งานเพลงของเขา โดยที่ไม่ต้องยึดติดกับคำว่าอดีตนักร้องนำโอเอซิส วงที่โด่งดังในยุค 90 ข้อดี ผมรู้สึกประทับใจกับเส้นเรื่องของหนังไม่ได้ตัดวนไปวันมา เล่าตรงๆแต่ตั้งเริ่มต้นจุดแตกหักการแยกวงโอเอซิสในปี 2009 ผู้ชายที่ยะโสโอหังไม่แคร์ใครหน้าไหนทั้งสิ้น ชีวิตที่โลดโผนกวนบาทาไปเรื่อย มาทำวงใหม่ Beady Eye ก็พังเหตุผลเพราะผู้คนส่วนใหญ่ติดภาพจำเก่าๆ เมื่อสลัดเงาเดิมไม่ออก งานเพลงที่ทำวงใหม่ที่ไร้ความแตกต่างจากงานเก่า มันเลยทำให้เจ๊ง แถมปัญหาชีวิตมรสุมเข้ามาทั้งโดนเมียเก่าฟ้องหย่า เกือบหมดตัว ตามด้วยการอยากให้สังคมมาเหยียดซ้ำ หนังใส่ความมืดมนในชีวิตให้รู้ว่าเลียม ตกต่ำเขาพบเจออะไรบ้าง ความบ้าบิ่นถึงขีดสุด ชีวิตงงงวยไม่รู้จะไปไหนดี หาทางออกไม่ได้ จนกระทั่งได้ผู้จัดการคนใหม่คือ เด็บบี้ กวิเธอร์ ผู้ที่ในมาชี้ทางสว่างให้ น้องเล็กสุดในตระกูลกัลลาเกอร์ ได้เข้าใจธรรมชาติการใช้ชีวิต อายุอานามที่เยอะลูกๆที่ต้องดูแลและแม่ที่เป็นดั่งลมหายใจ ครอบครัวมีส่วนสำคัญที่ทำให้ เลียม เดินหน้าทำในสิ่้งเดียวที่ชีวิตเขาถนัดสุดนั้นคือการร้องเพลง เขาต้องมานั่งแต่งเพลงเอง หาความลงตัวเพื่อตีความให้เข้าถึงหูคนฟัง คือไม่ได้จะทำท่ากวนตีนไปเรื่อยๆ หนังสื่อให้เห็นถึงความตรงไปตรงมาที่เขายังคงซื่อสัตย์กับแฟนเพลงอยู่ และเราก็ได้เห็นบทพูดถึงประเด็นที่อยากทำมากที่สุดคือการประสานรอยร้าวกับพี่ชายตัวเองอย่างโนล แม้จะทำแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อยมันได้ลงมือทำ หนังสื่อสารได้พอเหมาะพอเจาะ และภาพที่ปรากฏออกมาเหมือนว่าพฤติกรรมเก่าๆที่ไปด่าท้อคนโน่นคนนี่เริ่มลดน้อยลงไปเหลือเพียงแค่ไปแซวชาวบ้านแรงๆเท่านั้น หากใครคิดจะได้ยินเพลงจากหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเป็น อัลบั้มชุดแรกที่ปล่อยออกมาในปี 2017 As You Were เพลงที่เป็นซิงเกิ้ลคุณจะได้ยินนะแต่มันไม่เยอะ ข้อเสีย . ผมออกอาการเซ็งเล็กน้อยกับการนำเสนอชีวิตเรื่องราวของเลียม มีขอบเขตน้อยเกินไปหนังมีความยาว 1 ชั่วโมงเศษ ไม่ได้เตะหลัก 100 นาที ส่วนตัวมองว่าการที่ ชาร์ลี ไลท์เทนนิ่ง และ กาวิน ฟิตซ์เจอรัลด์ ผู้กำกับคู่ตามถ่ายและบันทึกเรื่องราวเป็นไฟล์วิดีโอ โดยเฉพาะในรายของ ชาร์ลี นั้นทำงานกับเลียมมาเกือบ10 ปี นับตั้งแต่โอเอซิสแยกวง เขาควรจะสรุปและเล่าเรื่องให้มันมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งผมคิดว่าผู้กำกับก็คิดเยอะมากพอสมควรกที่จะหาความลงตัวในแต่ละซีนที่เขาเลือกใช้ภาพปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด หลายๆประเด็นสรุปได้กระชับเข้าใจง่าย เล่าที่มาที่ไป แต่มันสั้นไปในความรู้สึกส่วนตัว เพราะชื่อของเลียม มันขายได้อยู่ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องการงาน ถ่ายทอดตัวตนทุกอย่างของเขา ทั้งในฐานะศิลปินผู้โด่งดังและในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ทุ่มเททุกอย่างให้กับการเดินทางในเส้นทางของศิลปินเดี่ยว โชคดีอย่างที่หนังไม่ได้ไปโปรโมตอัลบั้มใหม่ Why Me? Why Not. อัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 2 ที่วางไปในช่วงปลายเดือนกันยายน และบ้านเราได้ดูช้ากว่าที่อื่นที่ลงโรงฉายไปตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน . สิ่งที่แฟนเพลงอาจไม่รู้ จริงๆแล้วเลียม กัลลาเกอร์ ตระเวนออกทัวร์ในฐานะศิลปินเดี่ยว และสามารถนำเพลงของ Oasis ไปเล่นตามโชว์ต่างๆได้ทั่วโลก เพียงแต่ใครที่คิดว่าคุณจะได้ยินเพลงฮิตจากสารคดีในเรื่องต้องขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะ โนล กัลลาเกอร์ ผู้เป็นพี่ชายของเลียมและเป็นคนแต่งเพลง ไม่อนุญาตทางทีมงานให้นำไปเผยแพร่ในนั้น . สรุป นี่คือหนังของคนที่รักในเสียงร้องเลียม กัลลาเกอร์ และตัวตนของเขา มันครอบคลุมเรื่องราวได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ เลวร้ายสุดขีด มุมอ่อนโยน ด้านสว่าง อาจเป็นเพราะปัจจัยเรื่องครอบครัวลูกๆของเขาและผู้จัดการส่วนตัวที่เป็นแฟนใหม่นี่แหละที่มาชะโลมความดาร์กในตัวเลียมทิ้งไป จนเขาได้พบทางออกและกลับมาผงาดในฐานะศิลปินเดี่ยวอีกครั้ง จนกลับมาเป็นผู้เป็นคน ปล.ผมไม่อยากให้ใครนำหนัง As It Was ไปเปรียบเทียบกับ Oasis Supersonic เพราะมันเป็นการเล่าเรื่องคนละประเด็นและอยากให้มองเป็นสารคดีที่อ้างอิงตัวบุคคล . แจกรีวิว 8/10 เวลานี้หนังหาชมได้แบบถูกลิขสิทธิ์ผ่านทาง Itunes
logoline