logo-heading

ถ้าจะพูดถึงแข้งที่มีพัฒนาการยอดเยี่ยมที่สุดในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำฤดูกาลนี้ เชื่อว่าแฟนบอลหลายคนคงชี้นิ้วเลือกคำตอบไปที่ เฟร็ด มิดฟิลด์ชาวบราซิลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแน่นอน

ซึ่งจากฟอร์มที่หเลวแหลกในปีแรกกับทัพ "ปีศาจแดง" พัฒนามาเป็นแกนหลักของทีมในซีซั่น 2 มันไม่แปลกที่เสียงชื่นชมจะถาโถมเข้าไปหาเขาเป็นอย่างมาก ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราเลยจะพาไปไล่เรียงดูไทม์ไลน์ของ เฟร็ด กันเสียหน่อย ว่ากว่าที่เขาจะก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง

แจ้งเกิดในโลกลูกหนังที่ ยูเครน

เชื่อว่าในช่วงที่ เฟร็ด แจ้งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ แฟนบอลอย่างเราๆ ไม่มีทางรู็จักมิดฟิลด์ชาวบราซิลคนนี้อย่างแน่นอน โดย เฟร็ด เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับทีมในประเทศบ้านเกิดอย่าง อินเตอร์นาซิอองนาล ก่อนที่เมื่ออายุครบ 20 ปี เจ้าตัวก็เก็บกระเป๋าเดินทางมาค้าแข้งในทวีปยุโรปกับ ชัคตาร์ โดเนตส์ ซึ่งค่าตัวในการย้ายทีม ณ ตอนนั้นอยู่ที่ 15 ล้านยูโร ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียวกับแข้งดาวรุ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองอะไรมากมาย  แต่แล้วแววของ เฟร็ด ก็ฉายแสงตั้งแต่เกมแรกที่ลงสนามให้กับ ชัคตาร์ โดเนตส์ โดยเจ้าตัวได้โอกาสลงสนามในรายการ ยูเครน ซุปเปอร์ คัพ แมตช์ชิมลางก่อนเปิดฤดูกาล โดยเจ้าตัวเหมายิงคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ทีมเอาชนะ เชอร์โนโมเร็ตส์ โอเดสซ่า ไป 3-1 ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มสรรสร้างผลงานสุดร้อนแรงภายใต้สีเสื้อสีส้มของทีมได้อย่างสุดตรีน ! รวมแล้ว 4 ปีที่เค้าแข้งกับ ชัคตาร์ โดเนตส์ เจ้าตัวลงสนามไปทั้งสิ้น 155 นัด ยิง 15 ประตู และแอสซิสต์ไปทั้งสิ้น 15 นัด โดยซีซั่นที่ฟอร์มพีคสุดนั้นก็คือซีซั่นสุดท้ายกับทีมที่ซัดไป 4 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ และด้วยผลงานการบัญชาเกมแดนกลางให้กับทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งควบคุมจังหวะ, จ่ายบอล และสร้างสรรค์โอกาส ทำให้ในช่วงตลาดนักเตะซัมเมอร์ 2018 ทาง แมนฯ ยูไนเต็ด จะติดต่อเข้ามาพร้อมประเคนค่าตัวจำนวน 52 ล้านปอนด์ คว้าตัวไปเสริมแกร่งให้แดนกลางของทีมในยุคที่มี โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นผู้กุมบังเหียนในตอนนั้น [caption id="attachment_113673" align="aligncenter" width="1280"] ชีวิตที่พลิกผัน! จาก 'บราซิลเซิ้นเจิ้น' สู่ 'เทพเฟร็ด' ในปัจจุบัน เฟร็ด เมื่อครั้งวาดลวดลายกับ ชัคตาร์ โดเนตส์[/caption]

ขวบปีที่ยอดแย่ ณ อังกฤษ

แน่นอนว่าด้วยจำนวนค่าตัวที่เข้าขั้นไม่ธรรมดา บวกกับข่าวคราวในตลาดนักเตะตอนนั้น เฟร็ด กลายเป็นที่สนใจของกุนซือระดับบิ๊กถึง 2 คน อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำให้แฟนบอล "ปีศาจแดง" ต่างคาดหวังกับมิดฟิลด์ชาวบราซิลคนนี้มากพอสมควร แต่ทว่าเมื่อฤดูกาล 2018-19 ได้รูดม่านเปิดฉากขึ้นฟอร์มของ เฟร็ด ก็ดูเหมือนจะถอยหลังลงคลองมากไปเรื่อยๆ   ไม่ต้องไปพูดถึงขั้นคุมแดนกลาง หรือเป็นตัวจ่ายบอลชั้นยอด แต่เพียงสเต็ปเบสิคการจับบอล หรือจ่ายบอลง่ายๆ เฟร็ด ทำทุกอย่างมันมันเป็นเรื่องยาก ทั้งจ่านบอลน้ำหนักขาด, จ่ายบอลสั้น แต่ไม่เข้าเป้า หรือจับบอลทีห่างตัวเป็นวา ทำให้จากการยึด 11 ตัวจริงของทีมในช่วงแรก เริ่มกลายเป็นเพียงแข้งสำรอง หรือหลุดออกจากทีมชุดแข่งขันไปเลย รวมแล้วการร่วมงานกับ มูรินโญ่ ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เฟร็ด ได้โอกาสลงในลีกไปเพียง 8 นัด (ตัวจริง 5 นัด) จากทั้งหมด 17 แมตช์ ก่อนที่ทีมจะแยกทางกับ มูรินโญ่ ในช่วงกลางซีซั่น ซึ่งหลังจากที่ทีมไปติดต่อ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามาคุมทีม โอกาสของ เฟร็ด ก็ไม่ได้มากขึ้น แถมยังดูเหมือนเป็นเพียงแข้งอะไหล่ ไม่ได้เหมาะกับค่าตัวระดับ 52 ล้านปอนด์ที่ทีมลงทุนไปเลยสักนิด ทำให้ขวบปีแรกที่อังกฤษ สถิติของ เฟร็ด ออกมาที่ลงสนาม 25 นัด (ตัวจริง 20 นัด) ยิง 1 ประตู และแอสซิสต์ 1 ครั้ง  แน่นอนมันล้มเหลวเสียยิ่งกว่าอะไร ซึ่งเจ้าตัวเองก็ออกอาการหงุดหงิดกับฟอร์มการเล่น และโอกาสที่ได้ลงเล่นเพียงหยิบมือ จนมีผลกระทบทำให้หลุดทีมชาติบราซิลไป "แน่นอนการไม่ได้ลงเล่นมันทำให้ผมหงุดหงิด แต่ผมก็ต้องรับมือกับมันให้ได้" [caption id="attachment_58698" align="aligncenter" width="1280"] Fred ฤดูกาลแรกกับ แมนยูฯ ไม่ได้สวยงามเลยสักนิด[/caption] ฟ้าหลังฝน ย่อมสวยงามเสมอ ภายหลังขวบปีแรก เฟร็ด ต้องพบเจอช่วงเวลาที่โหดร้าย ทำให้เมื่อซีซั่นที่ 2 เปิดทำการ เป้าหมายแรกของเขาคือการปรับตัวให้เข้ากับทีม และฟุตบอลสไตล์อังกฤษให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในช่วง 4 นัดแรกในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ เฟร็ด ไม่มีชื่อทั้งตัวจริง และสำรอง  ก่อนที่จะได้ปรากฎตัวในสนามอีกครั้งคือในเกมที่ 5 ของฤดูกาล โดยในโอกาสลงสนามในช่วง 23 นาทีสุดท้าย ซึ่งนั้นเปรียบเสมือนจุดพลิกผันของเจ้าตัวที่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นมากขึ้น จนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้สำเร็จ ต่อให้ใครจะเจ็บ หรือหลุดออกจากทีม เฟร็ด คือหมายเลข 1 ในแดนกลางของทีม ณ ตอนนี้ และเมื่อได้โอกาสจับคู่กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ แล้วก็ยิ่งเปรียบเสมือนคู่มิดฟิลด์ที่เคมีเข้ากัน คนหนึ่งคอยวิ่งไล่แบบบ้าเลือด ส่วนอีกคนคอยปัดกวาดการขึ้นเกมของคู่แข่ง โดยสถิติที่น่าเหลือเชื่ออีกอย่างของ เฟร็ด ในตอนนี้คือนับตั้งแต่เกมนัดที่ 6 ของศึกพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้เจ้าตัวได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงเป็นต้นมาในทุกเกม นอกจากนั้นยังอยู่ในสนามครบ 90 นาทีทุกนัด ยกเว้นเพียงเกมที่ทีมบ้านเปิดถล่ม วัตฟอร์ด 3-0 เท่านั้นที่เจ้าตัวถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วง 11 นาที สุดท้ายของเกม  ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ เฟร็ด พัฒนาขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยมเลยก็คือ ทัศนคติ ที่เจ้าตัวใช้ความขยันเข้าสู่ เก็บเสียงก่นด่าไว้ข้างใน และเริ่มใช้ผลงานในสนามเป็นคำตอบ และตอบโต้เสียงวิจารณ์ที่ว่าเขาก็เพียงแค่ "บราซิลเซิ้นเจิ้น" หรือ "แซมบ้าปลอม" ไปได้อย่างงดงาม "ผมเชื่อว่าฤดูกาลแรกสำหรับผมมันยากมากๆ มันมีหลายกระบวนการในการปรับตัว บวกกับเรื่องส่วนตัวในชีวิตผม ตอนที่ลูกชายของผมเกิด" "ดังนั้นผมเชื่ออย่างเป็นเหตุเป็นผลว่าหลายๆ อย่างทำให้ผมมีฤดูกาลแรกที่ย่ำแย่มาก แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ผมได้ปรับตัวให้ได้แทบจะครบทุกด้านแล้ว" คำสัมภาษณ์ล่าสุดของ เฟร็ด ที่ตอกย้ำเกี่ยวกับการพัฒนาของตัวเองกับฟุตบอลในอังกฤษ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เฟร็ด เปิดใจ! หลังช่วงแรกกับ แมนยูฯ มีฟอร์มการเล่นที่ยอดแย่ ก่อนปรับตัวได้ในปัจจุบัน

ความยอดเยี่ยมที่มีคนมองเห็น

ด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้น หรือเรียกได้ว่ากลายเป็นคนละคน มันไม่แปลกที่จะมีคนมองเห็น และชื่นชมในความยอดเยี่ยมของเจ้าตัว ยกตัวอย่างเช่น ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล อดีตนายทวารของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยกให้ เฟร็ด เป็นแข้งยอดเยี่ยมที่สุดของทีมในฤดูกาลนี้ หรือแม้แต่คนใกล้ชิดอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็เคยเอ่ยปากชมว่า เฟร็ด พัฒนาแบบก้าวกระโดด อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่น และขยันเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นในส่วนรางวัลแข้งยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรชื่อของ เฟร็ด ต้องเข้าไปติดเป็นหนึ่งในแคนดิเดตลุ้นรางวัลอย่างแน่นอนจากผลงานที่กล่าวมาทั้งหมด ซึ่งมันคงน่ายินดีไม่น้อย และไม่มีใครกล้าคัดค้าน หรือวิจารณ์อย่างแน่นอนถ้าเจ้าตัวจะเดินขึ้นไปรับรางวัลดังกล่าวอย่างสง่างาม ติดตามไลน์ขอบสนามเพิ่มเติม เพิ่มเพื่อน
logoline