logo-heading

เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ชื่อนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักแล้วล่ะครับ มิดฟิลด์พลัง 18 ปอด จาก เชลซี เขาเป็นหนึ่งคีย์แมน ที่กำลังพาทัพ สิงห์บลูส์ ลุ้นคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครอง โดยเฉพาะผลงานที่ช่วยทีมตบ เรอัล มาดริด กลับสเปน ไปด้วยความผิดหวัง

ใครจะเชือล่ะครับว่า ก็องเต้ จะเดินทางมาไกลได้เพียงนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคิดว่า “ฝันไป” เพราะตลอด 10 กว่าปีมานี้ เส้นทางอาชีพของเขามันก้าวกระโดดมากเหลือเกิน จากอดีตที่เคยเป็นแค่เด็กจากทีมสมัครเล่นเท่านั้น

เขาเป็นนักเตะที่มีคำนิยามตรงกับประโยคที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” กว่าที่ ก็องเต้ จะผ่านมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เส้นทางไทม์ไลน์ค้าแข้งของเขาต้องลำบากขนาดไหน ไปติดตามกัน

ปี 2010 เริ่มต้นจากลีกสมัครเล่น

การจะเป็นแข้งระดับโลก ไม่ใช่แค่นักเตะพรสวรรค์ เท่านั้นนะครับ บางครั้งเรื่องของวาสนา ก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน บางคนได้เข้าไปอยู่ในอะคาเดมี่ของสโมสรยักษ์ใหญ่ หรือ ได้สังกัดจากทีมลีกสูงสุด แต่กระนั้นกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มันแตกต่างออกไป ก็องเต้ เริ่มต้นกับ ซูเรสเนส ทีมในระดับท้องถิ่น และ เป็นทีมสมัครเล่นในลีกลูกหนังแดนน้ำหอม เขาเริ่มต้นฝึกปรือวิชา ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ และ เล่นให้กับสโมสรแห่งนี้มาเนิ่นนานถึง 10 ปี ตั้งแต่ยังเด็กๆ เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องย้ายทีมหรอกครับ เพราะเขาขอแค่มีความสุขกับการเล่นฟุตบอลก็เพียงพอ ก็องเต้ เคยรำลึกถึงสมัยที่ตนเองยิงประตูแรกให้กับ ซูเรสเนส ไว้ว่า "ประตูแรกของผมกับ ซูเรสเนส ตอนนั้นผมยิงไม่ได้เลยทั้งปี แต่นัดสุดท้ายของฤดูกาล ผมจำได้เลยว่า บอลมันไหลมาเข้าทาง และ ผมยิงซัดเข้าประตูไป ผมวิ่งไปบ้าคลั่งทั่วสนาม เพื่อนร่วมทีมวิ่งตามกันเป็นพรวน มันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ประตูแรกในชีวิตของผมมันโคตรวิเศษเลย" - ปี 2012 ขยับขึ้นมาอยู่บนเวที แชมปิญองนาต์ (ดิวิชั่น 3 ฝรั่งเศส) จริงๆแล้วตอนที่ ก็องเต้ อยู่กับ ซูเรสเนส เขาพยายามเดินทางไปคัดตัวกับทีมดังอย่างๆ แรนส์, โซโชซ์ และ ลอริยองต์ แต่ทว่ากลับโดนปฏิเสธทั้งหมด เป็นเพราะเขารูปร่างเล็กไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ทำให้สุดท้ายต้องมาลงเอยกับทีมสำรองอย่าง บูโลญจน์ ในปี 2010 ซึ่งตอนนั้นเป็นลีกดิวิชั่น ของ 6 ฝรั่งเศส แต่กระนั้นอีก 2 ปี ต่อมา ก็องเต้ ก็ถูกดันขึ้นมาอยู่กับชุดใหญ่ ได้อยู่ในลีกอาชีพของฝรั่งเศส จริงๆตอนนั้น บูโลญจน์ อยู่ในลีก เดอซ์ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้เป็นตัวหลัก ก่อนที่ทีมจะตกชั้นมาเล่นในศึก แชมปิญองนาต์ หรือ ดิวิชั่น 3 ฝรั่งเศส ระหว่างซีซั่น 2012-13 ก็องเต้ ก้าวเข้ามาเป็นตัวหลักของทีม โดยพลาดลงสนามไปเพียงแค่ 1 นัด เท่านั้น ถึงแม้ตำแหน่งจะเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ แต่เขาก็ได้เพิ่มสถิติยิงประตูให้กับทีม ถึง 4 เม็ด ในฤดูกาลนั้น ด้วยความที่เขาเริ่มฉายแวว ก็ไปเตะตาแมวมองจากทีมในลีก เดอซ์ ฝรั่งเศส .. เพียงแค่ซีซั่นแรกกับ บูโลญจน์ ก็ทำให้ชีวิตของ ก็องเต้ เติบโตขึ้นอีกครั้งในเส้นทางลูกหนังอาชีพ เมื่อเขาได้ขยับขยายไปโม่แข้งในลีก ดิวิชั่น 2 แห่งเมืองน้ำหอม

ปี 2013 ได้ก้าวขึ้นมาเล่นบน ลีก เดอซ์ ฝรั่งเศส

ชีวิตของ ก็องเต้ ไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดด แต่เขาเดินขึ้นไปแบบขั้นบันได ไม่รวบรัด ไม่เร็วไป ทำให้เขาสามารถพัฒนาและปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเขาย้ายมาเล่นให้กับ ก็อง ในศึก ลีก เดอซ์ ฝรั่งเศส ก็เป็นตัวหลักให้กับสโมสรทันที ซีซั่นแรกเขาลงสนามมากถึง 38 นัด และ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ช่วยให้ต้นสังกัดจบอันดับ 3 เลื่อนชั้นขึ้นสู่ ลีก เอิง ได้สำเร็จ แค่ปีเดียวกับ ก็อง ก็เลื่อนชั้น เท่ากับว่าเขาได้ขึ้นมาเล่นบนเวทีลีกสูงสุดของฝรั่งเศส เป็นครั้งแรกในชีวิต เท่ากับว่าเวลาผ่านไปแค่ 4 ปี จากนักเตะที่สังกัดทีมสมัครเล่น กลับกลายมาเป็นนักเตะที่มาโลดแล่นบนเวที ลีก เอิง ฝรั่งเศส นับเป็นความสำเร็จของเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้โด่งดังอะไรมาตั้งแต่แรก

ปี 2014 สัมผัสเวทีลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในชีวิต

ก็องเต้ ก็คงไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกัน ว่าก้าวกระโดดขึ้นมาเล่นในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส ภายในเวลาแค่ 4-5 ปี เท่านั้น แต่มันจะมีเรื่องราวหนึ่งที่มักพบเห็นเป็นประจำ ก็คือพวกนักเตะลีกรอง ที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมา หากใครฝีเท้าเกรดยังไม่ถึง ก็อาจจะต้องตกไปนั่งเป็นสำรอง เพราะแต่ละทีมก็จะเสริมผู้เล่นเข้ามา เพื่อภารกิจรอดตกชั้น แต่กระนั้นกับ ก็องเต้ ยังคงยึดตำแหน่งเป็นแกนหลักของทีมเหมือนเดิม เขาลงเล่นช่วยทีมใน ลีก เอิง ฝรั่งเศส ไปถึง 37 นัด พลาดไปเพียงแค่ 1 เกม อีกทั้งยังทำได้ 2 ประตู ช่วยให้ ก็อง จบอันดับ 13 อยู่รอดปลอดภัยแบบชิลๆ ไม่ต้องไปลุ้นหนีตาย ทว่าที่ทำให้ ก็องเต้ เริ่มเป็นที่เตะตาทีมดังๆ ก็คือเป็นนักเตะที่เก็บบอลจังหวะ 2 ได้มากที่สุด ไม่ใช่แค่ในลีกแดนน้ำหอมนะครับ แต่มากที่สุดในเวทียุโรป ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

ปี 2015 ก้าวเท้าสู่ เลสเตอร์ สถานที่สร้างชื่อ

ถึงแม้ว่า ก็องเต้ จะเล่นอยู่บนลีกสูงสุดของ ฝรั่งเศส แต่ต้องยอมรับกันตามตรงว่าชื่อเสียงของเขาไมได้โด่งดังมากนัก ยิ่งบ้านเรา ยิ่งไม่รู้จักกันเลย เพราะลำพังแค่ตามดู ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยังทำไม่ได้แบบทุกนัด ฉะนั้นตอนที่เขาย้ายมาอยู่กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ก็มาแบบเงียบๆ ไม่ได้หวือหวาอะไร ในราคาราวๆ 6 ล้านปอนด์ ซึ่งตอนนั้น ก็องเต้ เป็นตัวเลือกลำดับ 3 ที่จะย้ายมาแทน เอสเตบัน กัมเบียสโซ่ เนื่องด้วย 2 เป้าหมายแรก จิ้งจอก ต้องพลาดตัวไป จากนักเตะโนเนมที่ไม่มีใครรู้จัก แสงสปอร์ตไลท์เริ่มฉายแสงมาหาเขาเรื่อยๆ ด้วยสไตล์การวิ่งเป็นม้าดีด บู๊บุ๋นพล่านไปทั่วสนาม สร้างความแข็งแกร่งให้กับแนวรับ เลสเตอร์ เป็นอย่างมาก และ สร้างความสมดุลให้กับแผงมิดฟิลด์ โดยเฉพาะวิสัยทัศน์การอ่านเกมอันเฉียบขาด ยากเหลือเกินที่คู่ต่อสู้จะกระชากผ่านเขาไปได้ เดิมที ก็องเต้ ไม่ได้เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับนะครับ ช่วงแรกเขาถูก เคลาดิโอ รานิเอรี่ ถูกจับไปยืนเป็นปีกซ้าย ซึ่งตำแหน่งนั้นไม่สามารถสร้างอิมแพ็คได้เลย กระทั่งประวัติศาสตร์ขีดเขียน เมื่อ ทิงเกอร์แมน ตัดสินใจขยับให้ ก็องเต้ มายืนเป็นมิดฟิดล์ตัวกลาง คู่กับ แดนนี่ ดริงค์วอร์เตอร์ ใครจะเชื่อละว่าเขาจะมีส่วนคัญช่วยให้ "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" สร้างผลงานมาสเตอร์พีซ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาครองเป็นสมัยแรก เคยมีนักข่าวคนหนึ่งไปถาม โรเบิร์ต ฮูธ อดีตกองหลัง เลสเตอร์ ซิตี้ ชุดนั้นว่า “ทีมคุณได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยแผงแบ็กโฟร์ชุดที่มี แดนนี่ ซิมพ์สัน, ตัวคุณ, เวส มอร์แกน และ คริสเตียน ฟุคส์ ได้อย่างไร ?" ฮูธ ตอบมาเพียงสั้นๆว่า "เพราะ เอ็นโกโล่ ก็องเต้!" และ ตั้งแต่บัดนั้น ไม่มีใครไม่รู้จัก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ อีกต่อไป

ปี 2016 เซ็นสัญญาซบ เชลซี 

ด้วยชื่อเสียงที่กระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นสโมสรที่เล็กสำหรับ ก็องเต้ ไปแล้ว ต่อให้เพิ่งได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาก็ตาม ดังนั้นการย้ายทีม จะทำให้เขามีความก้าวหน้าไปมากกว่านี้ และ ก็เป็น เชลซี ที่สามารถเซ็นสัญญาคว้าตัวไปร่วมทีม ด้วยเม็ดเงินเพียง 32 ล้านปอนด์ นับเป็นราคาที่ถูกแสนถูก หากเทียบกับฝีเท้า ซึ่งเม็ดเงินที่ เชลซี จ่ายไปนั้น ก็องเต้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาตอบแทนด้วยการพา สิงห์บลูส์ กลับมาคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้อีกครั้ง และ เป็นการซิวแชมป์ลีก 2 สมัยติดต่อกันของเจ้าตัว โดย อันโตนิโอ คอนเต้ เคยนิยามความยอดเยี่ยมของนักเตะรายนี้ไว้ว่า "ถ้ามี ก็องเต้ ในสนาม เหมือนเรามีผู้เล่นมากกว่าคู่แข่ง 1 คน" ปีนั้นไม่ใช่แค่จะประสบความสำเร็จในนามสโมสรนะครับ เพราะผลงานกับทีมชาติฝรั่งเศส ก็เกือบจะไปถึงฝั่งฝัน เมื่อทัพ "ตราไก่" ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ ยูโร 2016 กับทีมชาติโปรตุเกส แต่น่าเสียดายมาพ่ายช่วงต่อเวลาพิเศษ เป็นได้เพียงแค่พระรองเท่านั้น

ปี 2018 นักเตะแชมป์โลก

ตลอดการเดินทาง 8 ปี จากนักเตะลีกสมัครเล่น มันช่างเป็นอะไรที่เกินฝันจริงๆ ขนาด ก็องเต้ ยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์แบบถ่อมตัวไว้ว่า "ผมไม่เคยฝันถึงการย้ายมาเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก หรือ ติดทีมชาติฝรั่งเศส เลยด้วยซ้ำ ผมแค่อยากจะลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ของ บูโลญจน์ แค่นั้น" การมาอยู่กับ เชลซี ทำให้ความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นไปอย่างยิ่งยวด ไม่ได้เด่นแค่เกมรับ แต่เกมรุกก็ช่วยทีมได้แบบจี๊ดจ๊าดไม่แพ้กัน เขาช่วยทีมต่อยอดจากแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาเป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ เรียกว่าตั้งแต่มาอยู่แดน “ผู้ดี” เป็นแชมป์แทบทุกซีซั่น และ ผลงานเหล่านั้น ทำให้ ก็องเต้ ก้าวไปเป็นแกนหลักทีมชาติฝรั่งเศส ชุดลุย ฟุตบอลโลก 2018 ได้อย่างสง่าผ่าเผย เพราะ ยูโร 2 ปีก่อนหน้านั้น เขามีสถานะเป็นแค่ตัวสำรอง สุดท้าย ฝรั่งเศส คว้าแชมป์ เวิลด์ คัพ มาครองอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่ง ก็องเต้ เป็นนักเตะที่หลายคนยกย่องกับความสำเร็จครั้งนี้ โดยมีโมเมนท์น่ารักที่ผู้คนพูดถึงกันทั่วโลก ก็คือ ก็องเต้ ที่ดูเขินๆ อายๆ ไม่กล้าชูถ้วยแชมป์โลก เพราะเขามองว่ามันอาจเกินเอื้อมมากไป ร้อนเพื่อนๆต้องเรียกให้ ก็องเต้ มาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งจริงๆแล้วเขาคงไม่เชื่อสายตาเหมือนกันว่าจะเดินทางมาถึงตรงจุดนี้ได้

ปี 2019 แชมป์ ยูโรปา ลีก

ปีนี้ อาจจะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับ ก็องเต้ ไปเสียหน่อย เพราะ เชลซี มีการเปลี่ยนแปลงกุนซือมาเป็น เมาริซิโอ ซาร์รี่ ทำให้บทบาทของเขาในทีมเริ่มเปลี่ยนไป เนื่องด้วยตอนนั้นก็มี จอร์จินโญ่ ย้ายเข้ามา ซึ่งบางครั้ง ก็องเต้ ก็ต้องลงไปเล่นในตำแหน่งที่มันขยับสูงขึ้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่บทบาทที่เขาชื่นชอบมากนัก แต่กระนั้น ก็องเต้ ไม่เคยปริปากบ่น เขาทำตามทุกอย่างที่โค้ชสั่ง และ เป็น เดอะ แบก ให้กับทีม เวลา สิงห์บลูส์ ต้องการใครสักคน ถึงแม้ว่าปีนั้นสโมสร จะไม่ประสบความสำเร็จใดๆกับการแข่งขันในประเทศ ทว่าเขาก็มีส่วนสำคัญช่วยให้ เชลซี คว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก มาครอง เรียกว่า 3 ปี กับ เชลซี มีแชมป์ให้นอนกอดทุกซีซั่น

ปี 2021 ลุ้นคว้าเจ้ายุโรปครั้งแรกในชีวิต

ถึงแม้ปี 2020 ก็องเต้ จะเสียสถิติไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆมาครองได้เลยกับ เชลซี แต่ทว่า 1 ปีให้หลัง สโมสรก็กลับมาผงาดฟ้าอีกครั้ง หลังจากมีการเปลี่ยนกุนซือจาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด มาเป็น โธมัส ทูเคิ่ล จากทีมที่แทบหมดหวังไปแล้ว ให้กลายมาเป็นทีมที่มีลุ้นดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งถ้วย เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็องเต้ ได้รับคำชมอย่างยิ่ง จากฟอร์มอันเร่าร้อน ที่สามารถปราบเอาชนะ เรอัล มาดริด มาได้ 3-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ เขามีสถิติที่เก็บกวาดแนวรุก “ราชันชุดขาว” ได้อย่างอยู่หมัด โดยมีรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ทั้ง 2 เกม เป็นเครื่องการันตี ถ้าหากสุดท้ายแล้ว ก็องเต้ สามารถพา เชลซี เป็นเจ้ายุโรปได้แล้วล่ะก็ เขาสามารถเขียนชื่อตัวเองลงใน ฮอล ออฟ เฟรม ของสโมสรได้เลย เพราะแทบจะพาทีมคว้ามาทุกแชมป์ ถึงต่อให้อกหัก ก็จะไม่มีใครลืมความดีความชอบที่เขาทำมาให้เห็นอยู่ตลอดได้อย่างแน่นอน  ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา สำหรับ ก็องเต้ มันเดินทางมาไกลราวกับความฝันจริงๆ

ฮาย ฮาวดี้-

logoline