สำหรับศึก คาราบาว คัพ ประจำฤดูกาล 2021-22 พลพรรค "หงส์แดง" คือผู้ที่ก้าวไปถึงฝั่งฝันในการชูถ้วยแชมป์ พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นสโมสรอังกฤษที่เถลิงบัลลังก์แชมป์ ลีก คัพ มากที่สุดที่ 9 สมัย จากการต่อสู้ห้ำหั่นกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี แบบสุดมันส์ตลอดทั้งเกมจนใครต่อใครยกให้คู่นี้เป็นเกมระดับ 10 ดาว ครบรสทุกอารมณ์ ก่อนจะเป็นฝ่ายเอาชนะไปในการดวลจุดโทษ 11-10
มาดูกันที่ฝั่งผู้แพ้อย่าง เชลซี กันบ้างดีกว่า ! ถ้าจะถามว่าใครคือคนที่ผิดหวังและชอกช้ำที่สุดในเกมๆ นี้ หลายคนอาจจะตอบว่า 'เกปา อาร์ริซาบาลาก้า' คำตอบก็คือ "ก็คงใช่แหละ" เพราะพี่แกคือผู้เล่นคนที่ 11 ของ เชลซี ที่สังหารจุดโทษพลาดคนสุดท้าย
แต่ในขณะเดียวกันดูเหมือนจะมีผู้เล่นอยู่อีกคนที่ต้องเจอกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน และความเจ็บปวดในระดับที่ไม่ต่างจาก เกปา อาร์ริซาบาลาก้า นั่นก็คือดาวรุ่งอนาคตไกลอย่าง เมสัน เมาท์
แฟนบอลหลายๆ คนอาจไม่ทันได้คิดและไม่ทราบว่า เมสัน เมาท์ เองก็มีอดีตที่ไม่ค่อยจะดีนักยามได้ปรากฏตัวและได้สู้ศึกบนสังเวียนที่ยิ่งใหญ่อย่าง เวมบลี่ย์ ราวกับว่าโดนของหรือโดนต้องคำสาปร้ายให้พบเจอแต่ความผิดหวัง
ย้อนเวลากลับไปในฤดูกาล 2018-19 นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่ค่อยมีใครสนใจหรือรู้จักไอ้เด็กน้อยที่ชื่อ เมสัน เมาท์ เขาถูก เชลซี ปล่อยตัวไปฟาร์,เก็บเลเวลกับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในรูปแบบของการยืมตัวโดยหนึ่งในตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของ เชลซี อย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด เป็นผู้บัญชาทัพ และก็ฉายแววได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของ "แกะเขาเหล็ก" ในปีนั้นจากผลงานซัดไป 11 ประตู และกดไปอีก 6 แอสซิสต์จากการลงเล่นไป 44 นัดจากทุกรายการ
เมสัน เมาท์ คือหนึ่งในส่วนสำคัญที่พา ดาร์บี้ เคาน์ตี้ จบที่อันดับ 6 บนเวที เดอะ แชมเปี้ยนชิพ คว้าโควต้าเพลย์ออฟเลื่อนชั้น เขาคือหนึ่งในผู้ที่มีชื่อบนสกอร์บอร์ดพา "แกะเขาเหล็ก" พลิกสถานการณ์กลับมาดับฝันเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด ไปด้วยสกอร์รวมไป 4-3 แต่ท้ายที่สุดในเกมนัดชิงตั๋วใบสุดท้ายกับการเลื่อนชั้นสู่เวที พรีเมียร์ลีก กลับต้องเป็นฝ่ายที่อกหักชอกช้ำไปจากการแพ้ให้ แอสตัน วิลล่า ไป 1-2
นับตั้งแต่นั้นไอ้หนู เมสัน เมาท์ ก็ได้กลับมาพิสูจน์ตัวเองแบบจริงๆ จังๆ ที่ เชลซี เขาได้รับการยกย่องอย่างมากจากสื่อและตำนานชื่อดังมากหน้าหลายตาในเรื่องของพรสวรรค์และเทคนิคจนก้าวขึ้นมาเป็นขุมกำลังสำคัญพร้อมกับถูกวางตัวไปเป็นอนาคตของทีมด้วยกับการได้รับฉายาว่า "นิว แฟร้งค์ แลมพาร์ด"
ตลอดระยะเวลา 3 ฤดูกาลกับชีวิตที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และในยูนิฟอร์ม "สิงโตน้ำเงินคราม" ทาง เมสัน เมาท์ ได้โอกาสเถลิงบัลลังก์แชมป์รายการสำคัญอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ ลีก รวมไปถึงสดๆ ร้อนๆ นั่นก็คือแชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ หรือ สโมสรโลก ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
อย่างไรก็ตามการคว้าความสำเร็จบนสังเวียนใหญ่อย่าง เวมบลี่ย์ ยังเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของผู้ชายคนนี้ โดยบาดแผลแรกก็อย่างที่บอกไปนั่นคือการอดตีตั๋วเลื่อนชั้นเมื่อสมัยอยู่กับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้
นับตั้งแต่วันนั้นบาดแผลที่ สอง สาม และ สี่ก็ค่อยๆ ตามมา ไล่ตั้งแต่ศึก เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2019-20 ที่โดน "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล คู่อริร่วมเมืองพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศ รวมไปถึงในฤดูกาลถัดมา เชลซี ของ โธมัส ทูเคิ่ล ก็ตีตั๋วไปไกลถึงนัดชิงอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องโดนยัดเยียดความปราชัยด้วยน้ำมือของ เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 1-0
สำหรับตัวของ เมสัน เมาท์ นับว่ามีส่วนสำคัญกับทั้ง 2 เกมในนัดชิงชนะเลิศ อย่างวันเจอ อาร์เซน่อล ถึงจะได้ลงไป 78 นาที แต่ก็มีส่วนกับเกมรุกอยู่ไม่น้อย มีโอกาสได้ส่องไกลเน้นๆ 1 ครั้งติดไปติดเซฟ และที่สำคัญก็คือเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับประตูขึ้นนำจาก คริสเตียน พูลิซิช ด้วย ส่วนในเกมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ลงเล่นเต็มๆ 90 นาที มีโอกาสได้ง้างเท้ากดเน้นๆ ถึง 2 ครั้งแต่ก็ไม่สามารถช่วยใส่สกอร์ให้กับทีมได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดวง, โชคชะตาหรืออาถรรพ์คำสาปกันแน่
ไล่มาจนถึงเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมากับทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์อย่าง ยูโร 2020 สำหรับ เมสัน เมาท์ ก็ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยนำทาง ทีมชาติอังกฤษ ไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ ถึง อิตาลี จะโชว์ฟอร์มได้ดีมาตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ แต่ก็ต้องบอกเลยว่าเกมๆ นั้นภาษีของพลพรรค "สิงโตคำราม" ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันเลย เพราะนั่นคือวันที่ยืนอยู่ในบ้านของตัวเองบนสังเวียน เวมบลี่ย์ สเตเดี้ยม
โชคชะตาเหมือนจะพา อังกฤษ ไปถึงฝั่งฝันกับการเถลิงบัลลังก์ ยูโร สมัยแรกบนหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อ ลุค ชอว์ เป็นคนทำประตูให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 2 และในช่วงตัดสินกันตอนดวลจุดโทษทางฝั่ง อิตาลี ก็เป็นฝ่ายพลาดก่อนด้วยเมื่อ อันเดรีย เบล็อตติ คนที่สังหารจุดโทษพลาดไป แต่ไปๆ มาๆ ผลปรากฏว่า 3 คนสุดท้ายของ อังกฤษ ดันยิงพลาดกันหมดมันก็เลยทำให้ อิตาลี เป็นฝ่ายหัวเราะทีหลังดังกล่าว และเป็นชูถ้วยแชมป์ ยูโร อย่างยิ่งใหญ่ที่บ้านของ อังกฤษ ด้วย ความรู้สึกมันจะเจ็บปวดรวดร้าวขนาดไหนคงไม่ต้องสาธยายให้ฟังกัน
ส่วนตัวของ เมสัน เมาท์ นั้นได้อยู่ในสนาม 99 นาทีก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามไปและส่ง แจ็ค กรีลิช มาแทน นั่นจึงทำให้เขาไม่มีชื่อเป็นคนสังหารจุดโทษให้กับพลพรรค "ทรีไลอ้อนส์"
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2022 เมสัน เมาท์ หมายมั่นปั้นมือมากๆ ว่าโชคชะตาบนสังเวียน เวมบลี่ย์ มันต้องต่างไปจากทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะทาง เชลซี เองก็ถือว่าภาษีดูดีไม่เบาเมื่อเทียบกับ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ไม่ค่อยถูกโฉลกกับนัดชิงชนะเลิศที่ เวมบลี่ย์ เช่นกัน
แต่ก็อย่างที่ทราบกัน ! ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเหมือนหนังม้วนเดิมเลย นี่คือเกมที่ 5 ติดต่อกันของ เมสัน เมาท์ ที่พี่แกไม่สามารถใส่ชื่อบนสกอร์บอร์ดได้ ทั้งที่มีโอกาสได้หวดจ่อๆ แบบเน้นๆ ในช่วงท้ายครึ่งแรก แต่กลับพลาดไปแบบไม่น่าเชื่อ รวมไปถึงในช่วงต้นครึ่งหลัง เชลซี มีโอกาสทองที่จะได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจาก เมสัน เมาท์ ที่หลุดกับดักล้ำหน้า รับบอลจาก คริสเตียน พูลิซิช และเข้าไปดวลเดี่ยวๆ แต่ดันยิงหนีมือ เคลเลเฮอร์ ไปชนเสาซะงั้น
ตลอดจนในนาทีที่ 58 โอกาสครั้งที่ 3 ที่ เมสัน เมาท์ ได้ลุ้นประตูขึ้นนำให้ เชลซี พี่แกก็ดันซัดไปตรงตัว เคลเลเฮอร์ แบบไม่ได้ลุ้นอะไร ก่อนที่สุดท้ายความหวังจะหมดไปเมื่อพี่แกถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามไปในนาทีที่ 74 นั่นจึงส่งผลให้ เมสัน เมาท์ ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับช่วงเวลาที่เหลือตลอดจนการดวลจุดโทษที่ เชลซี ต้องเป็นฝ่ายอกหักไป
อย่างไรก็ตามความหวังและความตั้งใจของ เมสัน เมาท์ ยังไม่หมดไป เพราะ ณ ตอนนี้ เชลซี ยังอยู่ในเส้นทางที่ดีสำหรับการล่าแชมป์ เอฟเอ คัพ ที่ตอนนี้เดินทางมาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายแล้ว มันยังมีความเป็นไปได้ที่พี่แกจะได้ปรากฏตัว, พิสูจน์ตัวเอง, ลบล้างฝันร้ายและอาถรรพ์คำสาปที่สนาม เวมบลี่ย์ อีกครั้งหนึ่ง ผลสุดท้ายจะลงเอยแบบไหนเดี๋ยวคงได้ทราบกัน
HaMu Dos Santos
