logo-heading

เขาเปรียบดั่งพระเจ้า เป็นไอค่อนของสโมสร เป็นทุกอย่างในการพาทีมประสบความสำเร็จ ขณะที่ ทัพ ฟ้า-ขาว ก็ถูกเชิดชูความยิ่งใหญ่ เหมือนกับ ดีเอโก้ มาราโดน่า

แต่ในสีเสื้อ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กลับแตกต่างออกไป เพราะนัดที่ เปแอสเช เจอกับ บอร์กโดซ์ ราวๆ 2 สัปดาหฺก่อน ทุกครั้งที่ เมสซี่ จับบอล หรือ สัมผัสบอล จะถูกแฟนบอลทีมตัวเองโห่ใส่อยู่ตลอด ไม่มีการไว้หน้าใดๆทั้งสิ้น เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และ ทำไม เมสซี่ ถึงเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ ลองไปวิเคราะห์พร้อมๆกันครับ

- สมัย บาร์ซ่า มีแต่แฟนบอลเชิดชู

ย้อนไปสมัยอยู่กับ บาร์เซโลน่า ก่อนครับ ตลอดระเวลา 17 ปี เขาสร้างผลงานระดับโลกไว้มากมาย เอามาหยิบยกเล่ากัน 1 สัปดาห์ ก็ไม่หมดครับ แต่หนึ่งในสถิติที่ไม่รู้ว่าอีกกี่ปี กี่ชาติ จะมีใครมาทำลายได้หรือไม่ ก็คือการเป็นดาวซัลโวตลอดกาลของสโมสร ด้วยจำนวน 672 ประตู จากการลงสนาม 778 เกม พร้อมทำไปอีก 305 แอสซิสต์ โดยเฉพาะการซัลโวใน 1 ปี ปฏิทิน ถึงทำ 91 ลูก เมื่อปี 2012

หรือการคว้า บัลลง ดอร์ มาครองถึง 6 สมัย เมื่อครั้งค้าแข้งในถิ่นคัมป์ นู ซึ่งมันการันตีให้เห็นเลยว่า เมสซี่ รักษาฟอร์มการเล่นระดับโลกได้มาตลอดหลาย 10 ปี พร้อมกับความยิ่งใหญ่ ที่คว้าแชมป์มาได้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ลา ลีกา สเปน 10 สมัย, โกปา เดล เรย์ 7 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 4 สมัย และ สโมสรโลก อีก 3 สมัย ต่อให้ช่วงท้ายที่ทีมมีปัญหา เมสซี่ ก็ยังคงเป็น เดอะ แบก พาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยทิ้งทวน ดังนั้นที่ เจ้าบุญทุ่ม เขาคือพระเจ้า เป็นตำนานแบบไม่มีใครกล้าแตะต้อง 

หรือหากเป็นทีมชาติอาร์เจนติน่า วันที่เขาเลือกหันหลังให้กับทัพ ฟ้า-ขาว หลังประสบความล้มเหลวจนหัวใจสลาย ขอรีไทร์ก่อนวัยอันควร เรียกว่าคนทั้งแผ่นดิน ร้องไห้ และ อ้อนวอนให้กลับมาช่วยอีกครั้ง เพราะถ้าไม่มี เมสซี่ ก็ยากเหลือเกินที่จะประสบความสำเร็จ จนสุดท้ายเขาพา อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์ โคปา อเมริกา มาครอง ได้สำเร็จ

- ย้ายจาก บาร์ซ่า
แต่เริ่มต้นกับ ปารีส ด้วยความผิดหวัง

เหตุผลที่ทำให้ เมสซี่ ต้องจำใจจาก บาร์ซ่า มาอยู่กับ เปแอสเช ก็เพราะปัญหาด้านการเงิน ซึ่งตอนที่เจ้าตัวเดินทางมาเปิดตัวเซ็นสัญญา มันเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ และ ตื่นเต้น มีแฟนบอลอุ่นหนาฝาคั่ง มารอต้อนรับดาวเตะทีมชาติอาร์เจนติน่า เต็มไปหมด เพราะมันคือวันประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาโลก

แน่นอนว่า การมาของ เมสซี่ มันช่วยเพิ่มความหวังให้กับแฟนบอล เปแอสเช ในการเติมเต็มความฝันคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ใหได้ หลังจากตามหามานานเกือบ 10 ปี ก็ไม่ประสบความสำเร็จเสียที ดังนั้นการได้ เมสซี่ มาเล่นร่วมกับ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์ ย่อมสร้างอิทธิพลตรงนี้ได้ดีเหลือเกิน

อย่างไรก็ตาม เมสซี่ เริ่มต้นกับ ปารีส ไม่ได้เป็นไปในแบบที่ฝันมากนัก เพราะว่ากว่าจะทำประตูให้ทีมได้ใช้เวลานานถึง 1 เดือน โดยซัลโวในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเป็นการซัดใส่ทีมเจ้านายเก่า อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ส่วนสกอร์เปิดซิงบนสังเวียน ลีก เอิง ฝรั่งเศส ต้องรอนานถึง พฤศจิกายน กว่าจะเบิกสกอร์ได้

ซึ่งระหว่างทาง เมสซี่ ก็มีปัญหามากมาย ไม่ได้ลงสนามมากกว่าแต่ก่อน ทั้งอาการบาดเจ็บรบกวน, ติดเชื้อ โควิด-19 พร้อมมีข่าวเกาเหลากับ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จากการถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ซึ่งมันทำให้การปรับตัวของเขากับทีมใหม่เป็นไปได้ยากเหลือเกิน 

- สิ่งที่ทำให้รู้ว่า เมสซี่
ไม่ปังกับ ปารีส เหมือนสมัย บาร์ซ่า

ถ้าจะบอกว่า เมสซี่ เข้าสู่ช่วงบั้นปลายอาชีพ คงพูดแบบนั้นได้ไม่เต็มปากหรอกครับ เพราะ เมสซี่ ในวัย 34 ปี เขาฟอร์มฮอตปรอทแตกเหลือเกิน ในการแข่งขัน โคปา อเมริกา 2021 เขาเป็น เดอะ แบก อาร์เจนติน่า ก่อนจะคว้าแชมป์มาครอง พร้อมกับการเป็นดาวซัลโวร่วมประจำทัวร์นาเมนต์ ด้วยจำนวน 4 ประตู และ ซิวรางวัล MVP ได้อีก

แต่กระนั้น อย่างที่บอกครับ เมสซี่ ไม่อาจโชว์ฟอร์มเก่งแบบที่เขา ทำได้กับ บาร์ซ่า หรือ อาร์เจนติน่า ได้เลย ซึ่งปัจจัยสำคัญก็คือ "แท็คติค" การเล่น เพราะระบบการเล่นของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ มักเลือกให้ เมสซี่ ลงมาล้วงบอลลึกตรงกลางสนาม เพื่อช่วยมิดฟิลด์ในการ "บิ๊วอัพ" เกมรุก แทบทุกเกม 

ต่อให้แผนผังที่กางออกมาจะยืนเป็น 3 ประสานกองหน้า ในระบบ 4-3-3 แต่ เมสซี่ ต้องลงมารับบอลต่ำกว่าเดิมเป็นพิเศษ และ ปล่อยให้ เนย์มาร์ กับ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ มีหน้าที่ในเกมรุกมากกว่า ซึ่งแท็คติคแบบนี้ อาจส่งผลกระทบมาถึงตัวนักเตะไม่มา่กก็น้อย จนทำให้เขายิงได้เพียงแค่ 2 ประตู เท่านั้น ในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส

เรียกว่าเป็นจำนวนที่น้อยจนน่าตกใจ เพราะ เมสซี่ มีสถิติยิงรวมทุกรายการมากกว่า 30 ประตู มาแล้ว 13 ซีซั่นติดต่อกัน แต่ฤดูกาลนี้เพิ่งยิงให้กับ ปารีส ไปแค่ 7 ตุง เท่านั้น จึงไม่แปลกเลยที่แฟนบอลหลายๆคนจะวิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน เนื่องจากภาพลักษณ์ของ เมสซี่ เกิดมาเพื่อทำประตู ถ้าผิดแปลกไปจากนี้คือฟอร์มตก โดยอาจไม่ได้คำนึงว่า เมสซี่ ต้องเปลี่ยนบทบาทในสนามมากแค่ไหน เพื่อให้ตามแท็คติคของ โปเช็ตติโน่ และ อาจลืมไปว่าเขาก็ทำไปแล้ว 10 แอสซิสต์

อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ เมสซี่ ไม่อาจฉายแววความเป็นซูเปอร์สตาร์ได้เลย นั่นก็คือสไตล์การเล่นของ ปารีส ไม่ได้เล่นกันแบบรู้ใจ แต่ต้องมาเรียนรู้แบบปะติดปะต่อ จากการซื้อนักเตะตัวท็อปเข้ามากองรวมๆกันไว้ของบอร์ดบริหาร ดังนั้น โค้ชคือบุคคลสำคัญที่ต้องชงให้มันกลมกล่อม แต่ดูเหมือน พอช ไม่อาจตอบโจทย์สิ่งนี้ได้เลย เห็นได้จากข่าวที่อาจแยกทางกับ เปแอสเช ตลอดเวลา

ผิดกับ บาร์ซ่า พวกเขาสร้างทีมมากันมาตั้งแต่ระบบเยาวชน จากรั้ว ลา มาเซีย ดังนั้น เมสซี่ และ โค้ชที่เข้ารับงาน จะรู้ดีว่าต้องเล่นอย่างไร ต้องไปยืนตรงไหน อย่างในยุคที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ หลุยส์ เอ็นริเก้ กุมบังเหียน พวกเขามีมิดฟิลด์อย่าง ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า และ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ นั่นทำให้ เมสซี่ แสดงศักยภาพออกมาเต็มที่ เล่นเกมรุกได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยสุดเร้าใจ โดยเฉพาะการต่อบอลบนพื้นอันแม่นยำ

ส่วนวันที่ทีมสะเปะสะปะ ตำนานหลายๆคนเริ่มอำลาทีม บาร์ซ่า ก็ใช้ เมสซี่ เป็นศูนย์กลางของทีม อาจจะไม่ได้ยืนสูงเหมือนสมัยก่อน แต่ก็มีส่วนร่วมกับเกมรุกอยู่ตลอด มีช็อตยิงประตูสำคัญให้เห็นต่อเนื่อง ถึงแม้รายละเอียดแท็คติคของโค้ชจะแตกต่างกันไป แต่กับ ปารีส คุณเห็นถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปไหมล่ะครับ ?

ดังนั้น เมื่อฟอร์มของ เมสซี่ ไม่เข้าที่เข้าทาง ก็ไม่แปลกที่จะมีแฟนบอล ปารีส วิจารณ์ผลงานนักเตะ เพราะมันเป็นสิทธิ์ที่พวกเขาพึงกระทำได้ อีกอย่างสโมสรก็ไม่ได้มีความผูกพันธ์อะไรกับนักเตะรายนี้อยู่แล้ว ทำไมถึงจะแตะต้องไม่ได้

- ต้นเหตุของการโห่

ย้อนกลับไปนัดแรกที่ ปารีส เปิดบ้านเอาชนะ เรอัล มาดริด ได้ก่อน 1-0 ถึงแม้วันนั้น คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ จะเป็นฮีโร่ยิงประตูชัยช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้ เปแอสเช กุมความได้เปรียบไปก่อน แต่ทว่าระหว่างเกม ลิโอเนล เมสซี่ ดันยิงจุดโทษพลาด เพราะไม่อย่างนั้นคงได้เปรียบเรื่องสกอร์มากกว่ามากกว่า 1 เม็ด

ยิ่งมานัด 2 ที่ ปารีส บุกไปนำ มาดริด อยู่ดีๆ แต่ก็มาโดนอาฟเตอร์ช็อค ถูกยิงแซง 3 ลูกรวด รวม 2 นัดแพ้ไป 2-3 กระเด็นตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตั้งแต่ไก่โห่ วันนั้น เมสซี่ แทบไม่มีบทบาท ไม่มีส่วนร่วมกับเกมรุก ยิ่งถอยมาเล่นในบทบาท คอสเพลย์ มิดฟิลด์ ต้องมาเจอกับ ลูก้า โมดริช ที่คอยตามประกบอยู่ตลอด

รวมถึงรีแอคชั่น ความกระตือรือร้น ความหิวกระหาย หลังจากทีมเป็นฝ่ายตามหลัง มาดริด เช่นเดียวกับ เนย์มาร์ ที่โชว์ฟอร์มไม่ออกเช่นกัน แถมยังมีส่วนทำให้ทีมเสียประตูด้วย นั่นอาจเป็นจุดที่แฟนบอล เปแอสเช ไม่ปลื้มใจเอามากๆ และ เป็นที่มาของการโห่ใส่ทุกครั้งที่พวกเขาทั้งคู่จับบอล นัดที่ ปารีส เปิดบ้านถล่ม บอร์กโดซ์ 3-0 ถึงขั้นที่ภรรยาสาวของ เมสซี่ ดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาเลย กับการโดนโห่ครั้งนี้

จากนั้นก็มีการพ่นสีตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นการขับไล่ให้ เมสซี่ ออกจากทีมไปซะ

ซึ่งเมื่อ เมสซี่ ย้ายมา ปารีส ด้วยความซูเปอร์สตาร์ แฟนบอลก็ย่อมคาดหวังเป็นพิเศษ แต่ในเมื่อเป้าหมาย ยูซีแอล ที่ตั้งไว้ กลับผิดหวังซ้ำซากเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี ทำให้ เมสซี่ ตกเป็นหนึ่งใน "แพะรับบาป" และ ถูกมองว่าเป็นซีซั่นที่แย่ที่สุดของเขาในรอบหลายปี

แต่หากวิเคราะห์กันดูแล้ว ปารีส มีบาดแผลเต็มไปหมด ผู้รักษาประตูก็ผิดพลาด กองหลังก็ไม่แน่นปึ้ก กองกลางก็ไม่ได้อิมแพ็คช่วยทีมมากเท่าที่ควร ส่วนแนวรุกตอนนี้ กลายเป็น คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ เด่นเหนือใคร แต่ก็ยังถูกแขวะเรื่องบอลชายเดี่ยวไม่เปลี่ยน ซึ่งไม่ว่าใครก็มีส่วนรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด

รวมถึง โปเช็ตติโน่ ก็เป็นอีกบุคคลเช่นกัน ที่ต้องรับผิดชอบ เพราะเขาไม่สามารถทำให้ทีมกลมกล่อมลงตัวได้ เพราะการมีซูเปอร์สตาร์เยอะๆภายในทีม ก็เป็นดาบ 2 คม เหมือนกัน เนื่องจากการจัดแท็คติคก็คงปวดหัวน่าดู จะเอาใครลง จะดรอปใครก็กลายเป็น ดราม่า ไปหมด 

จริงอยู่ที่ ความสำเร็จ มันไม่สามารถสร้างได้ในเวลาชั่วข้ามคืน หรือ เพียงแค่ 1 ฤดูกาล แต่หลังจากนี้ เมสซี่ คงจะต้องแผลงฤทธิ์อะไรออกมาให้เห็นมากกว่าเดิม เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาย้ายมา ปารีส เพื่อความสำเร็จ และ ต้องการทำเพื่อสโมสรนี้จริงๆ

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline