logo-heading

เพราะลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไล่ยำใหญ่ แบบไม่มีพัก ไม่มีผ่อน กดเอาชนะ ปีศาจแดง ไปแบบเอาท์คลาส ด้วยสกอร์ 6-3 ชนิดที่แฟนบอล เร้ด เดวิลส์ เดินกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก

โอเคแหละว่า แมนฯ ยูไนเต็ด สู้ได้เต็มที่แล้ว แต่ว่าฟอร์มฮอตๆของ ปีศาจแดง ก็หยุดความร้อนแรงของแนวรุก แมนฯ ซิตี้ ไม่อยู่จริงๆ โดยเฉพาะการประสานงานของ ฟิล โฟเด้น, เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ และ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ต้องใช้คำว่าสุดตีนจริงๆ เอาเป็นว่าเกมนี้มีประเด็นอะไรให้ต้องขีดเส้นใต้ไฮไลท์หนักๆ ไปติดตามรับชมกันได้เลยครับ

- ครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ เล่นแบบ
สอนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด

45 นาทีแรก แมนฯ ซิตี้ ซ้อมเกมรุก บุกใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ฝั่งเดียว การต่อบอลอันไหลลื่น ทำชิ่งบอลเท้าสู่เท้าแบบจังหวะเดียว ช่างแม่นยำเหลือเกิน คล้ายๆเล่นลิงชิงบอล เพราะต่อให้ ปีศาจแดง วิ่งไล่เพรสซิ่งมากเท่าไหร่ ก็เหมือนไล่ตามคนไม่มีใจเท่านั้น เนื่องจากไม่สามารถแย่งบอลจากนักเตะ เรือใบสีฟ้า ได้เลย

ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำอะไรไม่ได้จริงๆ โอกาสที่ใกล้เคียงมากที่สุด 45 นาทีแรก ก็คือช็อตที่ คริสเตียน อีริคเซ่น วิ่งมาจะยิง แต่ดันหัวทิ่มหัวตำ ทำอะไรไม่ได้ ส่วนที่เหลือต้องวิ่งไล่ตามผู้เล่น เรือใบสีฟ้า เพียงเท่านั้น

บอกเลยว่า 45 นาทีแรก เป็นฝั่ง แมนฯ ซิตี้ ที่บุกโขยกแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ เดี๋ยวมาซ้าย เดี๋ยวมาขวา ยิงไกลก็มีให้เห็น ทำเอาแนวรับ ปีศาจแดง รวมถึง ดาบิด เด เคอา งานชุกมากเหลือเกิน จึงไม่แปลกเลยครับที่ แมนฯ ซิตี้ ยิงได้ถึง 4 ประตู เรียกว่าเกมมันจบลงตั้งแต่ตอนนั้นจริงๆ

- 4-0 แฟนบอล ปีศาจแดง เดินกลับบ้าน

ถ้าเป็นมวย ก็ต้องเรียกว่า "คนละชั้น" เพราะไม่มีวี่แววเลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะสามารถต่อกรกับ แมนฯ ซิตี้ ได้เลย การได้เห็นแบบนั้น ในฐานะแฟนบอล ปีศาจแดง ย่อมเป็นอะไรที่เจ็บปวดใจเหลือเกิน

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่กล้องถ่ายทอดสด จับภาพให้เห็นว่าแฟนบอล ปีศาจแดง เดินออกจากสนาม กลับบ้านตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก พวกเขาคงไม่เดินออกไปซื้อเป๊ปซี่ หรือ เดินออกไปซื้อลูกชิ้น แน่นอน เพราะคงทำใจลำบาก ที่ต้องเห็นทีมรัก ไร้ทางสู้จริงๆ 

แต่การกลับบ้านของแฟนบอลเหล่านั้น อาจจะไม่คุ้มค่าบัตรสักเท่าไหร่ เพราะครึ่งหลังมีประตูเกิดขึ้นถึง 5 ลูก ก่อนจะจบด้วยสกอร์ 6-3 อย่างน้อยถ้าอยู่ดูต่อครบ 90 นาที ก็จะได้เห็น ปีศาจแดง ยิงถึง 3 ประตู ด้วยกัน

- ฮาแลนด์ เหนือมนุษย์ ยิงอุตลุตไม่พัก

ยังมีใครสงสัยในตัว ฮาแลนด์ อีกไหมครับ ? นี่คือนักเตะที่ไม่ต้องปรับตัวอะไรทั้งสิ้น ย้ายมาอยู่กับทีมแค่ 1 เดือน เหมือนอยู่กับทีมมานานถึง 10 ปี เพราะตอนนี้แค่มองตา ก็รู้ใจ ยิ่งมี เควิน เดอ บรอยน์ เป็นเพลย์เมกเกอร์อยู่ด้านหลัง ยิ่งทำให้ เดอ บรอยน์ ตีบวกความเก่งเพิ่มขึ้นไปอีก

การทำแฮตทริคในแต่ละครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ ฮาแลนด์ ทำให้ทุกอย่างมันดู อีซี่ ไปหมด เพราะเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ครั้งแรก เขาก็สามารถทำแฮตทริคให้กับ แมนฯ ซิตี้ ได้ทันที แต่ที่มันบ้ากว่านั้นก็คือ จอมมารบู กดแฮตทริคได้เป็นครั้งที่ 3 จากการลงสนามแค่ 8 นัด เท่านั้น เอาง่ายๆเลยคือ คนธรรมดาทำแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ มันบ้าเกินมนุษย์มาก

ทำให้ตอนนี้ ฮาแลนด์ สร้างสถิติซัดแฮตทริคในถิ่นตัวเอง 3 นัดติดต่อกัน ส่งผลให้เขาทำประตูกับ แมนฯ ซิตี้ ไปแล้ว 14 ลูก ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เรื่องรางวัลดาวซัลโว คงไม่มีใครไปกล้าไปแข่งกับเขาแล้วล่ะครับ อยู่ที่ว่า ฮาแลนด์ จะสามารถทำลายสถิติ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เคยทำไว้ 32 ลูก ต่อ 1 ซีซั่น ได้หรือไม่ ซึ่งโอกาสทำลายสูงมาก เนื่องจากเพิ่งผ่านมาแค่ 8 นัด เท่านั้น

- 3 ประสาน เรือใบสีฟ้า โคตรน่ากลัว

จะต้องบรรยายอะไรดี ให้มันเกินกว่าคำว่า "สุดยอด" เพราะแค่ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ทำแฮตทริค มันก็โหดเหี้ยมมากอยู่แล้ว แต่เกมนี้ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ทำแฮตทริคได้ เพราะ ฟิล โฟเด้น เด็กนรกแตกก็สามารถซัด 3 ประตู ในเกมนี้ ได้เช่นกัน

ช่วงต้นซีซั่น มีคำวิจารณ์หนาหูว่า โฟเด้น ไม่ค่อยจ่ายบอลให้กับ ฮาแลนด์ !! พร้อมกับคำถามที่ว่า อิจฉาหรือเปล่า หรือ อยากจะยิงเองมากกว่า !! แต่ว่าตอนนี้คำตอบมันชัดเจนแล้วว่า เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตอนนี้ทั้ง 2 คน ยิ่งเล่นยิ่งเข้าใจกัน เพราะ 3 ประตูที่ โฟเด้น ทำได้ มาจากการแอสซิสต์ของ ฮาแลนด์ ถึง 2 ลูก เรียกว่ากำลังเข้าขากันสุดๆ

แต่กระนั้น มี 1 คนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย นี่คือคนที่ทำให้ ฮาแลนด์ กับ โฟเด้น ระเบิดฟอร์มเก่งออกมาสู่สายตาประชาชน นั่นก็คือ เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ ฟ้าประทาน ที่จ่ายบอลแต่ละครั้ง น้ำหนักเหมือนชั่งมาเมื่อเช้า ทุกอย่างช่างลงตัว เหมือนใช้มือจับลูกบอลไปวางตรงหน้า

โดยเฉพาะลูกที่ เดอ บรอยน์ โชว์วิสัยทัศน์จินตนาการ ด้วยการเปิดโค้งอ้อมตัว ราฟาเอล วาราน ไปให้กับ ฮาแลนด์ สไลด์ตัววิ่งมาชาร์ตตรงเสา 2 เข้าไปอย่างเหนือชั้น เรียกว่าชั่วโมงนี้ "เคดีบี" สามารถสถาปนาตัวเองเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่ดีที่สุดในโลกได้เลย 

ยิ่ง เดอ บรอย์ มี โฟเด้น กับ ฮาแลนด์ ที่อยู่ด้านหน้า เป็นตัวแทนเรื่องการซัดประตู ทำให้เขาฉายแววเก่งขึ้นมากกว่าเดิมไปอีก ปล่อยให้น้องๆซัลโวใส่คู่แข่ง เขาแค่ทำหน้าที่แอสซิสต์ประทานให้กับน้องๆเท่านั้น อย่างในเกมที่ถล่ม ปีศาจแดง ก็จัดแอสซิสต์เบาๆไป 2 ลูก รวมถึงลีลาการบัญชาเกมตรงแผงมิดฟิลด์ช่างยอดเยี่ยม เรียกว่าชั่วโมงนี้ 3 ประสาน เดอ บรอยน์, ฟิล โฟเด้น และ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ช่างน่ากลัวจริงๆ

- แมนฯ ยูไนเต็ด สู้เต็มที่
แต่เกิดขึ้นตอน เรือใบสีฟ้า พักตัวหลัก

จริงอยู่ที่ต้องชื่นชมความเป็นนักสู้ของนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาวิ่งสู้ฟัดกับ แมนฯ ซิตี้ ไปจนครบ 90 นาที ต่อให้โดนนำถึง 6-1 แต่ก็ยังกัดฟันสู้อยู้ เพื่อหวังยิงประตูคืนมาให้ได้ ซึ่งถ้าเป็นทีมอื่นๆคงจะถอดใจยอมไปนานแล้ว

การแพ้สกอร์เท่าไหร่ ก็แพ้เหมือนกัน แต่การแพ้ 6-1 กับแพ้ 6-3 ช่างต่างกันมากจริงๆ เพราะในช่วงประมาณ 10 นาทีสุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถยิงได้ถึง 2 ประตู จาก อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล นาที 84 และ 90+1 ทำให้ช่อว่างมันถูกบีบลดลงมา และ ถือเป็นการต่อยอดความมั่นใจของ พี่หมาก ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมช่วงปรีซีซั่น

อย่างไรก็ตาม ด้วยความเคารพต่อแฟนบอล ปีศาจแดง และ ไม่ได้เป็นการดูหมิ่นแต่อย่างใด เพราะในช่วงที่ แมนฯ ซิตี้ นำอยู่ 6-1 ทั้ง ฮาแลนด์ และ โฟเด้น สามารถทำแฮตทริคได้แล้ โดย เป๊ป เลือกเปลี่ยน โฟเด้น ออกไปพัก ขณะที่ ฮาแลนด์  อาจไม่ได้มีความทะเยอทะยานเท่าเดิม บวกกับรูปเกมของ เรือใบสีฟ้า ก็ไม่ได้เดินหน้าบุกเต็มสูบ เพื่อยิงประตูเพิ่ม รวมถึง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เปลี่ยนสำรองลงมาแทนตัวจริง ประสิทธิภาพไม่ได้ดีเท่าเก่า

นั่นทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มกลับมาครองบอลได้ และ มีรูปเกมที่เหนือกว่า ซึ่งสิ่งนี้แหละครับที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงได้ถึง 2 ประตู จาก มาร์กซิยาล แต่กระนั้นก็ขอคาราวะหัวใจของนักเตะ ปีศาจแดง ที่ไม่ยอมแพ้ จนทำให้การแพ้ครั้งนี้ ยังถือว่าได้ใจแฟนบอล เพราะพกวเขาทำเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่ดีพอที่จะสู้กับ แมนฯ ซิตี้ จริงๆ

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline