logo-heading

ซึ่งเกมนี้ มาดริด ยังคงใช้ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ลงสนามเป็นตัวจริงเหมือนเดิม ถึงแม้มีประเด็นไปดักชกหน้าแข้ง บียาร์เรอัล คู่กรณี โดยยังมีตัวเก๋าอย่าง คาริม เบนเซม่า, โทนี่ โครส หรือ ลูก้า โมดริช เป็นแกนหลักเหมือนเดิม ขณะที่ เชลซี ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ใช้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เอ็นโซ่ แฟร์นันเดซ และ เจา เฟลิกซ์ เป็น 11 ผู้เล่นคนแรก

โดยรูปเกมตลอด 90 นาที ฝั่ง มาดริด เหนือกว่าชัดเจน มีโอกาสมากมายที่จะทำประตู ส่วน เชลซี ที่สู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เน้นลูกฉาบฉวย แต่มีโอกาสก็จบไม่คมเอง สุดท้ายเป็นความสุดยอด และ ความเก๋าของ ราชันชุดขาว คว้าชัยชนะไป ซึ่งหลังจบเกม มีอะไรต้องพูดคุยกันบ้าง มาติดตามกันได้เลยครับ

- วินิซิอุส ตัวทำลายล้าง เชลซี

วินิซิอุส จูเนียร์ แนวรุกตัวจี๊ดของ เรอัล มาดริด คือตัวปั่นป่วนแนวรับ เชลซี ของจริง เขาไม่ได้มีแค่สปีดความไวเท่านั้น แต่เทคนิคยังแพรวพราว และ สามารถเลี้ยงกินตัวหลบหลีกคู่แข่งได้อยู่ตลอด ขนาด เวสลี่ย์ โฟฟาน่า ว่าไวแล้ว ยังเอา วินิซิอุส ไม่อยู่

ตลอดเวลา 90 นาทีที่อยู่ในสนาม วินิซิอุส มีสถิติสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของ เชลซี มากถึง 19 ครั้ง เป็นสถิติสูงที่สุดในรอบ 7 ปี ของการแข่งขัน ยูซีแอล รอบน็อคเอาท์ และ การสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษมากขนาดนี้ ก็ไม่แปลกเลยที่เขาจะมีส่วนร่วมช่วยให้ เรอัล มาดริด ได้ถึง 2 ประตู

ลูกแรกที่ มาดริด ขึ้นนำ 1-0 ก็เป็น วินิซิอุส ที่พยายามเหยียดขา ยิงเล่นทางจิ้มหนีมือ เกปา แต่ก็ปัดมาเข้าทาง คาริม เบนเซม่า ได้ซ้ำจ่อๆเข้าไปอยู่ดี ส่วนลูกที่ 2 ก็เป็นการเล่นสั้นทีเผลอ จากจังหวะเตะมุม ก่อนที่ วินิซิอุส จะปาดไปให้กับ มาร์โก อเซนซิโอ้ ยิงด้วยซ้ายเข้าประตูไปอย่างเฉียบคม

จากผลงานของ วินิซิอุส ทำให้เขามีสว่นร่วทำประตูทุกรายารในซีซั่นนี้ไปแล้ว 35 ลูก พร้อมกลายเป็นนักเตะที่ทำแอสซิสต์เยอะสุด ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นับตั้งแต่สตาร์ทซีซั่นก่อน โดยจ่ายให้เพื่อนซัดมากถึง 10 ครั้ง นอกจากนี้ทีมจากอังกฤษ ถือว่าเป็นอาหารอันโอชะของ วินิซิอุส เช่นเดิม เพราะ 8 นัดล่าสุดที่เขาเจอกับทีมจาก พรีเมียร์ลีก ยิงไป 4 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ 

- ใบแดงของ เบน ชิลเวลล์

จริงๆแล้ว การตามหลังแค่ 1 ลูก และ แพ้ไปกลับแค่นั้น อาจเป็นเรื่องดีสำหรับ เชลซี มากกว่า เพราะต่อให้รูปเกมมันสู้ มาดริด ไม่ได้ แต่ก็ยังมีโอกาสไปถอนแค้นคืนในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญของ เชลซี ในเกมนี้ ก็คือใบแดงของ เบน ชิลเวลล์ เมื่อแนวรับ สิงห์บลูส์ พยายามไปบีบสูง และ แนวรับยืนกันแบบ ไฮ-ไลน์ เพื่อหวังซื้อดักจังหวะล้ำหน้า แต่เมื่อ เชลซี เพรสกันไม่สุด และ แผงหลังมีช่องโหว่ให้คู่แข่งเล่นงาน ก็โดน มาดริด ตักข้ามหัวทันที

ซึ่งความเร็วของ โรดรีโก้ ก็สปีดจนกำลังจะหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ทันใดนั้น เบน ชิลเวลล์ จำใจต้องใช้มือดึงจากด้านหลังให้ล้มลง ผู้ตัดสินวิ่งมาแจกใบแดงแบบไม่ลังเล ในนาทีที่ 59 กลายเป็นใบแดงโดยตรงแรกในชีวิตของ ชิลเวลล์ ซึ่งเมื่อเหลือผู้เล่นน้อยกว่า ก็โดนบุกกระหน่ำ พร้อมกับเสียประตูที่ 2 ในที่สุด

- การเริ่มต้นของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด

ต่อให้ เชลซี จะปลด เกรแฮม พ็อตเตอร์ ออกจากตำแหน่ง และ แต่งตั้ง แฟร้งค์ แลมพาร์ด เข้ามาคุมทีม แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของทีมก็ไม่มีอะไรดีขึ้น และ ยังไม่เห็นแววเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด

แท็คติคเกมนี้ แฟนบอล เชลซี บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า "หัวจะปวด" เพราะรายละเอียดเรื่องแท็คติค, เรื่องประสบการณ์ ไม่สามารถสู้ทาง เรอัล มาดริด ได้เลย โดยเราไม่ค่อยได้เห็นลูกเพรสซิ่งจากนักเตะ สิงห์บลูส์ สักเท่าไหร่ แต่พอไปบีบสูง ก็โดนตักข้ามหัวกองหลังอยู่ดี ส่วนกองกลางก็สู้ไม่ได้ เพราะเมื่อคุณไม่เพรสซิ่ง ก็ทำให้มิดฟิลด์ มาดริด เล่นกันง่ายมากกว่าเดิม

รวมถึงนักเตะหลายๆคนของ เชลซี ในเกมนี้ เล่นได้อย่างผิดฟอร์ม ที่เห็นได้เลยก็คือ มาเตโอ โควาซิช เมื่อเขาต้องมาเจอกับพวกรุ่นพี่ ที่เคยเล่นด้วยอย่าง ลูก้า โมดริช หรือ โทนี่ โครส กลายเป็นเล่นแบบกล้าๆกลัวๆ 

ส่วนเกมรุกวันนี้ เจา เฟลิกซ์ ซึ่งมีโอกาสตั้งแต่นาทีแรก ก็ดูจะหวงบอลมากเกินไป จังหวะที่ควรส่ง ก็ไม่ยอมส่ง นับว่าเจอกับ มาดริด ทีไร สถิติย่ำแย่ถาโถมมาหาเขาอยู่ตลอด โดย 7 นัดที่ เฟลิกซ์ เคยดวลกับ ราชันชุดขาว เขาไม่เคยชนะเลย โดยแพ้ถึง 4 นัด และ เสมอ 3 นัด ยิงประตู หรือ ทำแอสซิสต์ ไม่ได้สักลูกเดียว

ทำให้จาก 2 นัดที่ผ่านมา แลมพาร์ด ยังไม่สามารถทำให้ลูกทีมยิงประตูใส่คู่แข่งได้เลย ถึงแม้โอกาสจะมี อยู่บ้าง แต่ก็ยิงกันไม่คม และ ทรงบอลยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้ตอนนี้ เชลซี ยิงคู่แข่งไม่ได้มาแล้ว 4 นัดติดต่อกัน แถมโดน มาดริด ส่องเข้าทำยิงตรงกรอบถึง 11 ครั้ง เรียกว่า ไม่เสียเกิน 2 ประตู ก็บุญแล้ว ดังนั้นถ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะกระเด็นตกรอบ ไม่มีอะไรลุ้นอีกแล้วในซีซั่นนี้

- สถิติอันยอดเยี่ยมของ มาดริด

ชัยชนะนัดนี้ของ มาดริด มันได้สร้างสถิติเอาไว้มากมายหลายอย่าง เริ่มจาก คาริม เบนเซม่า คนยิงประตูแรกให้กับ เรอัล มาดริด ซึ่งลูกนี้ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ยิงได้เกิน 90 ประตู ต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ลิโอเนล เมสซี่ และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ โดย 11 ประตูหลังสุดในรายการนี้ เบนเซม่า ซัดใส่ทีมจาก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ล้วนๆ

ต่อมา คาร์โล อันเชล็อตติ แสดงให้เห็นเลยว่า เขาคือ มาเฟียคุมทุกซอยของรายการ ยูซีแอล อย่างแท้จริง ชนะรัวๆในบ้านมา 6 เกมรวด และ เมื่อไหร่ที่ มาดริด สามารถนำคู่แข่งได้ก่อน ในยุค อันเช่ พวกเขาไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับทีมใด ซึ่งชนะไปถึง 30 นัด และ หลุดเสมอแค่ 1 นัด เท่านั้น แน่นอน เชลซี คือเหยื่อรายล่าสุด

ซึ่ง อันเช่ ก็โชว์กึ๋นอีกครั้ง ด้วยการส่ง อเซนซิโอ้ ลงมาเล่นเป็นตัวสำรอง นาที 71  เขาอยู่ในสนามเพียงแค่ 2-3 นาที ก็ยิงประตูตอกฝาโรงให้กับ มาดริด ได้ทันที เรียกว่าหยิบจับอะไร ก็ถูกต้องไปหมด

ดังนั้นจากสกอร์เกมแรก เรียกว่ามีโอกาสสูงที่ เรอัล มาดริด จะผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศ พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เปิดบ้านเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค มาก่อน 3-0 ถึงแม้จะยังเหลืออีก 1 นัด อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลมันคือลูกกลมๆ ปาฏิหาริย์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ดังนั้นมารอดูกันว่าจะมีอะไรพลิกโผ เกิดเหตุการณ์ล็อคถล่มหรือไม่ สัปดาห์หน้า ได้รู้กัน

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline