logo-heading

โดยนัดล่าสุดพลพรรคทัพ “หงส์แดง” สามารถจัดการกุมความได้เปรียบไว้ในมือได้ก่อนในโอกาสผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศศึก คาราบาว คัพ ด้วยการเปิดบ้านเฉือนเอาชนะ ฟูแล่ม 2-1 ก่อนมีโปรแกรมออกไปเยือนในเกมนัดที่สอง

แน่นอนว่า 90 นาทีที่ แอนฟิลด์ มีหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจบนชัยชนะของ ลิเวอร์พูล โดยจะมีอะไรน่าหยิบยกมาพูดถึงบ้าง ขอบสนาม พาไปเจาะกันครับ

หลังเกม \"หงส์แดง\" พลิกแซงคว้าชัยเหนือ \"ฟูแล่ม\"

ในวันที่ หงส์แดง ขาดนักเตะเยอะ

ประเด็นแรกที่น่าสนใจเลยคือสถานการณ์ของนักเตะ ลิเวอร์พูล ในช่วงนี้ที่ขาดแข้งหลักไปหลาย อย่างในเคสของ วาตารุ เอ็นโด กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต่างเดินทางไปช่วยทีมชาติในทัวร์นาเมนต์ระดับทวีป

ไหนจะเรื่องของนักเตะบาดเจ็บที่หมุนเวียนเข้าโรงหมอกันอยู่แทบไม่ขาดสาย ล่าสุดก็เป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ต้องพักยาวถึงอย่างน้อยๆ ก็ปลายเดือนมกราคม ไหนแดนกลางอย่าง โดมินิค โซบอสไล ก็เป็นอีกคนที่โดนโรคเดี้ยงถามหา

บวกกับอีกเรื่องคือโปรแกรมลงสนามที่ค่อนข้างถี่ในช่วงนี้ตามแบบฉบับของสโมสรที่ยังคงลุ้นความสำเร็จในทุกรายการ ว่าแล้ว เจอร์เก้น คล็อปป์ เลยมีการหมุนเวียนนักเตะลงสนามไล่ตั้งแต่แนวรับที่ให้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ลงเฝ้าเสาในรายการนี้ต่อเนื่อง ส่วน คอร์เนอร์ แบรดลีย์ ยืนแบ็กขวา แทน เทรนต์ อาร์โนลด์

ตรงกลาง เคอร์ติส โจนส์ ออกสตาร์ทตัวจริงต่อเนื่องเล่นร่วมกับ ไรอัน กราเฟนแบร์ก และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ส่วนแดนบนจัด 3 ประสาน ฮาวี่ย์ เอลเลียตต์, ดิโอโก้ โชต้า และ ลุยซ์ ดิอ๊าซ

ส่วน ฟูแล่ม ขนตัวหลักลงแบบเต็มกราฟทั้ง เจา ปาลินญ่า, อันเดรส เปไรร่า, วิลเลียน, อิสซ่า ดิย็อป หรือ ราอูล ฆิมิเนซ พร้อมกับแท็คติกที่ชัดเจนคือรับแล้วโต้ ซึ่งเรียกได้ว่าได้ผล และสร้างปัญหาให้ ลิเวอร์พูลตั้งแต่ต้นเกม

จุดเปลี่ยนที่สำคัญ

ประตูขึ้นนำตั้งแต่ 19 นาทีแรกของ ฟูแล่ม จัดว่าเป็นการจัดการฉวยโอกาสไม่ให้หลุดลอยไป ช็อตตรงนั้นส่วนหนึ่งต้องบอกว่า ฟาน ไดค์ ชิงจังหวะสกัดผิดพลาดด้วยจนเป็นที่มาของประตูขึ้นนำของผู้มาเยือน

ส่วนอีกหนึ่งจุดที่พลิกโฉมหน้าของเกมช็อตที่ ฟูแล่ม ควรที่จะทะยานทิ้งห่างเป็น 0-2 จากจังหวะหลุดขึ้นไปทางฝั่งขวาของ บ๊อบบี้ ดีคอร์โดว่า-รีด แทนที่เจ้าตัวจะเลือกจ่ายให้ อันเดรส เปไรร่า ที่กำลังวิ่งขึ้นมา และอยู่ในพื้นที่ที่ดีกว่า แต่เดชะบุญเจ้าตัวเลือกซัดเองซะอย่างงั้น

เรียกได้ว่าถ้าช็อตนี้เลือกเล่นให้ละเอียดกว่านี้สถานการณ์จะพลิกไปอยู่ในมือพวกเขา และโอกาสคว้าชัยที่สูงมากกว่าเดิม

และเมื่อ ลิเวอร์พูล ไม่เสีย พวกเขาก็สามารถกลับมาได้สำเร็จ หลังบดขยี้อยู่นานก็มาปลดล็อคตีเสมอ ก่อนตามมาด้วยประตูชัย ซึ่งทั้งประตูของ โจนส์ กับ กักโป มีช่วงเวลาห่างกันเพียง 3 นาที เท่านั้น 

หลังเกม \"หงส์แดง\" พลิกแซงคว้าชัยเหนือ \"ฟูแล่ม\"

คล็อปป์ แก้เกมเนียนกริบ

ตลอด 90 นาทีเกมนี้ คล็อปป์ จัดการเปลี่ยนตัวสำรองเพียง 2 รายเท่านั้น คือเลือกถอด กราเฟนแบร์ก  กับ เอลเลีตต์ ออก และส่ง ดาร์วิน นูนเญซ และ โคดี กักโป ลงสนามไปแทน และกลายเป็นตัวโจ็กเกอร์พาทีมกลับฝั่งคว้าชัยมาครอง

แม้จะเปลี่ยนตัวเพียง 2 คน แต่สิ่งที่ คล็อปป์ เลือกทำไปด้วยคือการยืนตำแหน่งของนักเตะที่บ่งบอกว่าเขาต้องการโหมบุกแบบเต็มตัว มีนักเตะในแผนกตัวรุก หรือกองหน้าให้ใช้งานหมุนตำแหน่งในสนามถึง 4 ราย

มากไปกว่านั้นคือการขยับให้ฟูลแบ็คทั้ง 2 ฝั่ง ขยับเดินขึ้นสูง โกเมซ กลายเป็นอินเวิร์ต ฟูลแบ็กแบบเต็มตัว คอยช่วยเกมแดนกลาง ส่วน  แบรดลีย์ ก็เติมเกมบุกจนกลายเหมือนเป็นปีกอีกราย

ด้วยวิธีการแบบนี้ ด้วยการปรับแท็คติกของ คล็อปป์ มันส่งผลต่อฟอร์มในสนาม  “หงส์แดง” กระชับพื้นที่ และกด ฟูแล่ม ได้แบบอยู่หมัด จนนำมาซึ่งการพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าชัยชนะ ซึ่ง นูนเญซ เหมาคนเดียว 2 แอสซิสต์ หรือ กักโป ที่ซัดประตูชัย

การลงมาของ นูนเญซ สร้างความแตกต่างไปจากเดิม เขาคอยกดดันแผงเกมรับของ ฟูแล่ม ซึ่งมีผลอย่างชัดเจน และยิ่งการมีตัวรุกเพิ่มขึ้น จากทั้งริมเส้น และตรงกลาง ทุกอย่างกลายเป็นความลงตัว และต้องยกเครดิตให้กับ คล็อปป์ แบบเต็มๆ ในการแก้ไขแท็คติดที่แยบยลจนเป็นอีกครั้งที่บ่งบอกว่า ลิเวอร์พูล นั้นตายยาก !!

โจนส์ ร่างทอง !!

เคอร์ติส โจนส์ กลายเป็นแข้งคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้แบบไม่อาจปฏิเสธไปได้แล้วนะครับ แถมผลงานในสนามก็สามารถจับต้องได้ แถมมีประตูมาฝากแฟนบอลอยู่เรื่อยๆ 6 เกมหลังสุดจัดการสอยไป 4 ประตู ด้วยกัน

ในเกมล่าสุดโดยเฉพาะครึ่งหลังของ โจนส์ ถือว่าโดดเด่นเลยทีเดียว ครองบอลเหนียวแน่น มีการจ่ายบอลที่เฉียบขาดในหลายๆ จังหวะ รวมไปถึงเป็นคนซัดประตูไล่ตามตีเสมอ จนสื่อหลายๆ สำนักยกให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ เกมนี้

นอกจากนั้นสถิติหลังเกมบ่งบอกว่า โจนส์ เป็นอันดับ 1 เรื่องของจ่ายบอลที่มีอัตราความสำเร็จมากถึง 98% มากที่สุดเหนือคนอื่นๆ หรือหาจังหวะทำประตูได้มากที่สุดเช่นกัน

เรียกได้ว่าตอนนี้ โจนส์ กลายเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญของ คล็อปป์ และลิเวอร์พูล ไปแล้ว ในเมื่อความมั่นใจกำลังก่อตัว มันย่อมส่งผลต่อฟอร์มในสนามอย่างชัดเจน

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline