logo-heading

ก่อนที่ ฟุตบอลโลก 2018 จะเริ่มขึ้น เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยกับมหกรรมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทีมงานขอบสนามขอย้อนเวลาไปดูความสำเร็จแห่งทัพ “กระทิงดุ” ยุคครองเมือง

รอบแบ่งกลุ่ม vs สวิตเซอร์แลนด์ การเจอ สวิตเซอร์แลนด์ ไม่น่าใช่งานยากอะไรสำหรับ "กระทิงดุ" เจ้าของแชมป์ ยูโร 2008 โดยเกมนั้นนำด้วย อีเกร์ กาซียาส, การ์เลส ปูโยล, เซร์คิโอ รามอส, ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า และ ดาบิด บีย่า ซึ่งเริ่มต้นเกมอาจยังดูประหม่าเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็เดินหน้าเต็มเครื่องใส่ สวิตเซอร์แลนด์ และมีโอกาสทำประตูหลายครั้ง ทว่าก็ไม่ยอมยิง จนโดนแซวว่าสงสัยจะต่อบอลจนเลี้ยงเข้าประตูไปเลย สุดท้ายเจอทัพแดน "นาฬิกา" สวนเปรี้ยงเดียวกลายเป็นประตูชัยโค่นล้ม สเปน ได้สำเร็จ vs ฮอนดูรัส ลงเล่นด้วยความกดดันเล็กน้อย เพราะการเจอกับ ฮอนดูรัส เป็นเหมือนไฟต์บังคับให้กับทัพ "กระทิงดุ" ว่าจำเป็นจะต้องเก็บ 3 คะแนน เท่านั้น ทว่าด้วยประสบการณ์และความห่างระหว่าง สเปน กับคู่แข่ง ส่งผลให้ แชมป์ยูโร 2008 ออกขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่ 17 นาทีแรก จากฝีเท้า ดาบิด บีย่า ส่วนครึ่งหลังเริ่มมาได้ไม่นาน บีย่า คนเดิม เพิ่มเติมเดี๋ยวบอก มายิงลูก 2 ของตัวเอง ให้ทีมขึ้นนำ 2-0 สุดท้าย อดีตดาวยิง บาเลนเซีย มีโอกาสซัดแฮตทริค หลังได้จุดโทษ แต่กลับยิงเฉี่ยวเสา ทำให้ทีมชนะแค่ 2-0 vs ชิลี นัดนี้ถือว่าเป็นการวัดคุณภาพทีมชาติสเปน ไปเลยว่าพวกเขาจะสามารถลบภาพลักษณ์ "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม" ได้่หรือเปล่า เพราะจำเป็นต้องเก็บ 3 คะแนนให้ได้ เพื่อการผ่านเข้าสู่รอบต่อไป และต้องชิงอันดับ 1 ของกลุ่ม มาครองให้ได้ด้วย ถ้าหากต้องการเลี่ยงเจอ บราซิล เกมนี้ "กระทิงดุ" เปิดเกมแลกกับ ชิลี ได้อย่างสนุก ซึ่งต้องมาวัดกันที่ความผิดพลาด กลายเป็น สเปน ใช้จุดนั้นเล่นงาน จาก ฝีเท้าของ บีย่า กับ อิเนียสต้า แถมคู่แข่งก็มาเหลือ 10 คน อย่างไรก็ตาม ชิลี ไล่มา 1-2 ทำให้เกมยิ่งสนุกมากขึ้น แต่ สเปน ก็รักษาสกอร์เก็บ 3 แต้ม พร้อมเข้าเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม รอบ 16 ทีมสุดท้าย vs โปรตุเกส หนี บราซิล มาได้ แต่ใช่ว่า สเปน จะเจอกับของง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เพราะคู่แข่งในรอบนี้เจอกับ โปรตุเกส ซึ่งนำโดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้  ที่ขณะนั้นได้กลายร่างเป็น เรอัล มาดริด เรียบร้อย โดย “กระทิงดุ” เลือกใช้หน้าคู่ทั้ง เฟร์นานโด ตอร์เรส และ ดาบิด บีย่า เกมนี้นับว่าเดือด เพราะ สเปน ต่อบอลตามสไตล์ ขณะที่ “ฝอยทอง” เลือกขึ้นเกมริมเส้น ครึ่งแรกยังคง 0-0 จนกระทั่ง 45 นาทีหลัง บอลทะลุช่อง สเปน สัมฤทธิ์ผล เมื่อ ชาบี เบิ้ลให้กับ บีย่า หลุดเดี่ยวไปยิงติดเซฟ แต่ซ้ำดาบ 2 ไม่พลาด ขึ้นนำ 1-0 ท้ายเกมมีเดือดมี ริคาร์โด้ คอสต้า กองหลัง โปรตุเกส ไปเล่นแรง โดนไล่ออก ก่อนจะจบเกมด้วยสกอร์นี้ รอบ 8 ทีมสุดท้าย vs ปารากวัย เกมนี้การทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน ถูกพูดถึงอีกครั้ง เพราะมีการแจกจุดโทษถึง 2 หน และให้แบบเท่าเทียมทั้ง 2 ฝ่าย โดย ปารากวัย ได้สังหารก่อน แต่ ออสการ์ คาร์โดโซ่ กลับยิงไปติดเซฟ อีเกร์ กาซียาส จากนั้นไม่นาน สเปน ก็มาได้จุดโทษเช่นกัน โดย ชาบี อลอนโซ่ สังหารไม่พลาด ทว่าผู้ตัดสินให้ยิงใหม่ เนื่องจากมองว่ามีผู้เล่น “กระทิงดุ” วิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษเสียก่อน กลายเป็นยิงใหม่ อลอนโซ่ ซัดไม่เข้า จากนั้น สเปน เดินหน้าอย่างหนัก เพื่อยิงประตู จนนาที 83 ดาบิด บีย่า คือ ฮีโร่ ซัลโวประตูชัย พาบ้านเกิดเข้ารอบรองชนะเลิศ รอบรองชนะเลิศ vs เยอรมัน เยอรมัน ผู้เป็นพระรองมาในศึก ฟุตบอลโลก 2002 ตกรอบรองชนะเลิศ 2006 คราวถึง “เวิลด์ คัพ 2010” “อินทรีเหล็ก ก็ผ่านมาถึงรอบตัดเชือกอีกครั้ง แต่พวกเขาต้องอกหักอีกครั้ง เพราะ สเปน ของจริง คัมแบ็กโชว์ให้แฟนบอลได้เห็นเป็นขวัญตา สเปน ครองบอลได้เยอะกว่าตามสไตล์ ส่วน เยอรมัน รอใช้เกมโต้กลับเล่นงาน เกมนี้ยังคง 0-0 จนกระทั่งนาที 73 เมื่อ สเปน ได้เตะมุม ชาบี เปิดเข้ามาในกรอบเขตโทษ ก่อนจะเป็น การ์เลส ปูโยล โขกเข้าไป ชนิดมี่ มานูเอล นอยเออร์ ป้องกันไว้ไม่ได้ หลังจบแมตช์ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ กุนซือใหญ่ ออกปากชมว่าเป็นฟอร์มที่สมบูรณ์แบบ รอบชิงชนะเลิศ vs เนเธอร์แลนด์ นับเป็นนัดชิงชนะเลิศ ที่ไม่เคยมีทีมชาติใดคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก มาก่อน ความทรงจำครั้งเก่ายังคงไม่เลือนหายไป เพราะยังจำบรรยากาศอันดุเดือดได้ดี เนื่องจากเป็นแมตช์ที่ถูกบันทึกไว้ว่า เป็นคู่ชิงที่ได้รับใบเหลืองมากที่สุดแห่งทัวร์นาเมนต์ โดยเฉพาะลูกกระโดดถีบยอดอกของ ไนเจล เด ยอง ใส่ ชาบี อลอนโซ่ ซึ่งดูจากภาพช้าควรเป็นใบแดงอย่างยิ่ง อย่างไรเกมดำเนินไปต่อ จริงๆคู่นี้ อาจไม่ถึงยืดเยื้อถึงต่อเวลา เมื่อ อาร์เยน ร็อบเบน ปีกชาวดัตช์ ได้หลุดเดี่ยวไปดวลกับ อีเกร์ กาซียาส แต่กลับยิงไปติดเซฟ ทำให้หมดเวลา 90 นาที เสมอกัน 0-0 จุดเปลี่ยนของเกมช่วง 120 นาที คือ จอห์น ไฮติงก้า โดนไล่ออก จากนั้นก่อนจะหมดเวลา ไปฎีกาถึงจุดโทษ กลายเป็น อีเนียสต้า มายิงประตูชัย ชนิดเฮกันสนั่นลั่นทุ่ง นำทัพ “กระทิงดุ” คว้าโทรฟี่ “เวิลด์ คัพ” ครั้งแรก
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline