logo-heading

บราซิล อกหักจากการเป็นแชมป์ ฟุตบอลโลก 1998 หลังแพ้ให้กับ ฝรั่งเศส แบบขาดลอย 0-3 ในนัดชิงชนะเลิศ ด้วยสภาพความฟิตของ โรนัลโด้ ที่ไม่เต็ม 100 %

ผ่านเวลามา 4 ปี ทัพ "แซมบ้า" ตีตั๋วผ่านเข้าไปเล่น เวิลด์ คัพ 2002 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่น รับหน้าเสื่อ เป็นเจ้าภาพได้สำเร็จ

แต่ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้น บราซิล ต้องเจอกับเรื่องหวั่นวิตก เพราะ โรนัลโด้ ดาวยิงหมายเลข 1 ของชาติ ขณะนั้น ก็เจอปัญหาโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าตามเล่นงานไม่หยุดหย่อน และเกิดอาการเดี้ยงซ้ำในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2002 กับสโมสร อินเตอร์ มิลาน ก่อน ฟุตบอลโลก จะเริ่มขึ้นเพียงแค่ 4 เดือน เท่านั้น แต่โชคชะตายังเข้าข้าง เมื่อ โรนัลโด้ คัมแบ็กกลับมาลงสนามได้ทันในช่วงปลายฤดูกาล และทีมแพทย์ "แซมบ้า" ก็ลงมติว่า โรนัลโด้ สามารถโม่แข้งในทัวร์นาเมนต์ ฟุตบอลโลก ได้ตามเป้าหมาย และเขาก็มีชื่อเป็นหนึ่งในผู้นำทัพ ของ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ จากนั้นก็มาถึง ฟุตบอลโลก 2002 รอบแบ่งกลุ่ม 3 มิ.ย. 2002 vs ตุรกี ถ้าจำกันได้เกมนี้ บราซิล เป็นฝ่ายเอาฤกษ์เอาชัย ด้วยการเปิดหัว ฟุตบอลโลก 2002 ด้วยการเฉือนเอาชนะ ตุรกี 2-1 ถึงแม้จะต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน แต่ก็กลับมาเก็บ 3 คะแนน ได้สำเร็จ แต่ว่าความทรงจำไม่ได้อยู่ที่ผลการแข่งขัน เพราะช่วงขณะที่ บราซิล นำอยู่ 2-1 ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย ทัพ “แซมบ้า” ได้ลูกเตะมุม และ ริวัลโด้ กำลังเป็นผู้รับอาสาเปิดเข้ามา แต่ ฮาคาน อุลเซา ปีกแดน “ไก่งวง” อยากให้เล่นเร็วๆ เลยเตะบอลไปอัด ริวัลโด้ ที่ยืนรออยู่ที่มุมธง จริงๆบอลพุ่งไปโดนขา ริวัลโด้ แต่กองกลางทีมชาติบราซิล ออกแอคติ้ง ประหนึ่งว่าบอลไปโดนใบหน้า  เมื่อ ราวกับว่าโดนใครต่อยมา ทว่า ผู้ตัดสิน คิม ยอง จู ชาวเกาหลีใต้ ไม่ทันเกม ควักใบเหลืองที่สอง เป็นใบแดงไล่แข้งตุรกี ออกจากสนาม 8 มิ.ย. 2002 vs จีน เป็นมหกรรมยำใหญ่สำหรับทีมชาติบราซิล เพราะ จีน ไม่มีอะไรไปสู้ได้เลย เรียกได้ว่า แก๊ง 3 อาร์ และเหล่าขุนพล บราซิล เดินหน้าบุกแหลกใส่ขุนพลแดน “มังกรกินหมี่” ซึ่งการวิ่งซัดฟรีคิก ด้วยอีซ้ายของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส ที่เป็นประตูนำร่องให้กับทีมชาติบราซิล ยังจำได้ดี เพราะตาข่ายแทบขาด จากนั้นก็ยำใหญ่ตลอด 90 นาที ซัดเพิ่ม อีก 3 ประตู กดไป 4-0 เก็บ 6 แต้มเต็มไปแบบสบายๆ 13 มิ.ย. 2002 vs คอสตา ริกา เหมือนจะเป็นวันสบายๆสำหรับทีมชาติบราซิล และ โรนัลโด้ ในการเจอกับ คอสตา ริก้า เพราะออกนำไป 3-0 ด้วยฝีเท้าของ “โล้นทองคำ” 3 ลูก แต่ทว่าหมูสู้มีด เมื่อ คอสตา ริกา ไล่ตีตื้นมา 3-2 อย่างไรก็ตาม เปรียบเสมือนเป็นการแหย่รังแตน เมื่อ บราซิล ระเบิดพลัง ซัดเพิ่มอีก 2 ประตู ซึ่งหนึ่งในนั้นมี ริวัลโด้ และสุดท้ายเป็น บราซิล ชนะไป 5-2 เก็บ 9 คะแนนเต็ม ตลอด 3 นัด รอบแบ่งกลุ่ม รอบ 16 ทีมสุดท้าย 17 มิ.ย. 2002 vs เบลเยี่ยม ฟุตบอลบางครั้ง โชคชะตาก็ไม่ได้อยู่ข้างเราเสมอไป ต่อให้ บราซิล จะเหนือกว่า เบลเยี่ยม มากขนาดไหน แต่การเข้าทำเกมบุกของทัพ “เซเลเซา” ช่วงครึ่งแรก ยิงทิ้ง ยิงขว้าง ทำอะไรก็ดูไม่ดีไปหมด เริ่มครึ่งหลัง เหมือน เบลเยี่ยม จะได้ใจ เพราะบุกใส่ บราซิล จนผู้รักษาประตู ทัฟฟาเรล ต้องออกแรงหลายครั้ง แต่แล้วทำนพก็แตก เมื่อ ริวัลโด้ เป็นผู้เปิดซิง และ โรนัลโด้ มาตอกฝาโรง เข้าชาร์ตยิงลอดขาผู้รักษาประตู ชนะไป 2-0 รอบ 8 ทีมสุดท้าย 21 มิ.ย. 2002 vs อังกฤษ บราซิล ต้องเจอกับศึกหนัก เพราะ อังกฤษ ชุดนี้ แข็งแกร่งอย่างมาก นำทัพโดย เดวิด เบ็คแฮม และมี ไมเคิ่ล โอเว่น เป็นกองหน้าตัวจี๊ด ต่อให้ทัวร์นาเมนต์นั้น โรนัลโด้ จะจี๊ดจ๊าดขนาดไหน แต่ทว่าแมตช์เจอกับ “สิงโตคำราม” ดาวยิงหมายเลข 9 แห่งทัพ “เซเลเซา” แทบจะหายไปจากเกม อย่างที่บอกว่า อังกฤษ มาดีเหลือเกิน และเป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อนด้วย เมื่อกองหลัง บราซิล ทำผิดพลาด และ โดน ไมเคิ่ล โอเว่น ฉกบอลไปได้ ก่อนจะหลุดเดี่ยวยิงผ่านมือผู้รักษาประตูเข้าไป กลายเป็นแชมป์โลก 4 สมัย ตกเป็นฝ่ายตามหลัง อย่างไรก็ตาม ในวันที่ โรนัลโด้ โชว์ฟอร์มไม่ออก แต่ยังมี โรนัลดินโญ่ กับ ริวัลโด้ ที่ขอแสดงเอง โดย บราซิล ได้ลูกยิงตีเสมอ 1-1 เมื่อ เหยินน้อย ลากจากกลางสนามฝ่าแนวรับ อังกฤษ และส่งให้ ริวัลโด้ ยิงซุกตาข่าย โมเมนต์สำคัญที่สุดที่ถูกจดจำว่าเป็นหนึ่งในลูกยิงที่ดีที่สุด เมื่อ โรนัลดินโญ่ ได้ลูกฟรีคิกเกิน 40 หลา เยื้องมาทางริมเส้นฝั่งขวา ใครๆก็คิดว่าต้องเปิดไปลุ้นในกรอบเขตโทษเท่านั้น แต่ โรนัลดินโญ่ กลับทำเรื่องเหลือเชื่อ เมื่อหลอกยิงปั่นย้อยข้ามหัว เดวิด ซีแมน ชนิดที่อึ้งกันทั้งสนาม พร้อมเป็นประตูชัยให้ “แซมบ้า” เฉือน “สิงโตคำราม” 2-1 รอบรองชนะเลิศ 26 มิ.ย. 2002 vs ตุรกี ก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ไฮไลท์สำคัญที่ถูกพูดถึงก็คือ โรนัลโด้ ได้ตัดผมทรงใหม่ ที่เรียกกันติดปากว่า "ไดโกโระ" อาจจะดูตลกๆอยู่บ้าง เมื่อยามครั้งแรกเห็น แต่หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นทรงฟีเวอร์สุดๆ โดยเฉพาะประเทศบราซิล ย้อนกลับไปถึงเกมวันนั้น ถ้าใช้คำว่า "รากเลือด" กับทัพ "แซมบ้า" ก็คงไม่ผิดมากนัก เพราะ บราซิล แทบจะเจาะแนวรับจากแดนเติร์ก ไม่ได้เลย เรียกว่า เซนอล กูเนส กุนซือตุรกี วางแท็คติคมาดีมาก โดยเปิดโอกาสให้ บราซิล ได้ลองส่องยิงไกลเป็นส่วนใหญ่ และเป็น รุสตู เร็คเบอร์ นายทวารมือ 1 ป้องกันไว้ได้ ก่อนจะมีการโต้กลับสวนให้ บราซิล ห่วงหน้าพะวงหลัง อย่างไรก็ตาม ความเป็นซูเปอร์สตาร์ของ โรนัลโด้ ได้ฉายแววออกมาเต็มๆ เพียงแค่เริ่มต้นครึ่งหลัง เสียงผู้บรรยายยังแจ่มชัดก้องในหัวใจได้ดีว่า "โรนัลโด้ ใช้หัวเกือกจิ้มยิงให้กับ บราซิล" ขึ้นนำไปแล้วครับ นับเป็นจังหวะที่สุดติ่งกระดิ่งแมวมากๆ เพราะโดนล้อมอยู่ 3 คน แต่พี่ "โล้นทองคำ" ก็อาศัยยิงเร็ว ผ่านมือนายทวารได้สำเร็จ ถึงแม้ช่วงท้ายเกมจะโดนบุกหนัก แต่ก็รักษาสกอร์ไวได้ และผ่านเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ เวิลด์ คัพ 3 ครั้งติดต่อกัน รอบชิงชนะเลิศ 30 มิ.ย. 2002 vs เยอรมัน ก่อนการดวลเจอกับ เยอรมัน ประเด็นที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือการดวลกันระหว่าง โรนัลโด้ ยอดดาวยิงแห่ง บราซิล ทัวร์นาเมนต์ กับ โอลิเวอร์ คาห์น ตำนานผู้รักษาประตูจอมหนึบ ที่พา "อินทรีเหล็ก" กรุยทางสู่นัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก และนับเป็นนัดชิงชนะเลิศ ที่สนุก และ ตื่นเต้นๆโคตร ทุกจังหวะยังคงจำได้ดี โดยบราซิล มีโอกาสหลายครั้งในครึ่งแรก จาก เคลแบร์สัน แต่บอลไปชนคาน อีกทั้ง โอลิเวอร์ คาห์น โชว์ผลงานได้สมราคา หลังเซฟลูกยิงวอลเล่ย์ของ โรนัลโด้  และ มีจังหวะที่ดักลูกเข้าชาร์ตของทัพ "แซมบ้า" ไว้ได้ ส่วน เยอรมัน ก็มีโอกาสจาก โอลิเวอร์ นอยวิลล์ แต่ ทัฟฟาเรล ก็ช่วย แซมบ้า เอาไวได้ จนกระทั่ง 2 อาร์ มาแผลงฤทธิ์ และ เป็นที่มาของ 2 ประตู โดยลูกแรก ริวัลโด้ สับไกลด้วยซ้าย คาห์น รับกระฉอกซองแตก ก่อนจะเป็น โรนัลโด้ ตามไปซ้ำไม่พลาด และลูกที่ 2 ริวัลโด้ วิ่งข้ามหลอกให้กับ "โล้นทองคำ" จับด้วยขวา และบรรจงปั่นเสียบเสา ให้ บราซิล นำ 2-0 สุดท้ายช่วย บราซิล คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก ไปครอง เป็นสมัยที่ 5 พร้อมทั้ง โรนัลโด้ คว้าดาวซัลโว ประจำทัวร์นาเมนต์ แบบยิ่งใหญ่ และทรง "ไดโกโระ" ก็กลายเป็นทรงที่รู้จักไปทั่วโลก
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline