สงครามลูกหนังของชาวอาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018” ใกล้จะได้คู่ชิงชนะเลิศแล้ว กลางสัปดาห์นี้เป็นคิวเตะรอบรองชนะเลิศ นัด 2 ที่จะได้ 2 ทีมเข้าไปลุ้นแชมป์เสียที
จากผลการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ นัดแรก ถือว่าโอกาสที่จะได้เห็น
“คู่ชิงในฝัน” มีความเป็นไปได้สูง ทั้ง
ไทย และ
เวียดนาม ต่างไม่เพลี้ยงพล้ำในการเป็นทีมเยือนทั้งคู่
“ช้างศึก” บุกเจ๊า
มาเลเชีย 0-0 ขณะที่แข้งสกุล “เหงียน” บุกเชือด
ฟิลิปปินส์ 2-1
สถานการณ์ตรงนี้ต้องบอกว่าเวียดนามมีโอกาสเข้าไปรอตามนัดในรอบชิงมากกว่า การชนะ 2 ประตูในเกมเยือนได้เปรียบมาก หากนัด 2 ไม่สะดุดหัวทิ่มคาบ้านจริงๆต้องได้ชิง
แต่คำว่า “ฟุตบอล” อะไรย่อมเกิดขึ้นได้
ย้อนกลับไปปี 2014 แฟนบอล “ญวน” เคยช็อกทั้งประเทศมาแล้ว เมื่อรอบรองชนะเลิศ นัดแรก บุกชนะมาเลเชีย 2-1 แต่นัด 2 ดันมาตกม้าตายตกรอบคาสนามมีดิงหน้าตาเฉย !!!
ดังนั้นอะไรที่ว่าแน่ๆย่อมไม่แน่นอน เวียดนามชนะนัดแรกแต่ยังต้องไปลุ้นนัด 2 ต่อในวันที่ 6 ธ.ค. ส่วนไทยที่เกมแรกได้ผลเสมอมา ต้องลุ้นต่อในวันที่ 5 ธ.ค.เช่นกัน
จริงๆ แล้วการเสมอแบบไร้สกอร์ที่สนามบูกิต จาลีล น่าจะเป็นผลดีต่อนักเตะ “ช้างศึก” แบบไม่ควรมีดราม่าอะไรเยอะแยะ ผลงานอาจไม่ทะลุเป้าแต่ถือว่าตามเป้า
อย่าลืมว่าการไปเยือนถิ่น “เสือเหลือง” ไม่เคยเป็นงานง่ายของนักเตะไทยมาช้านาน การเล่นต่อหน้าแฟนบอลเจ้าถิ่น 8 หมื่นกว่าคนแล้วเอาตัวรอดออกมาได้ต้องถือว่าโอเคแล้ว
อีกทั้งรูปแบบการแข่งขันที่เตะแบบ 2 นัดเหย้า-เยือนยิ่งไม่มีความจำเป็นตรงไหนที่ต้อง
“บุกชนะ” ในการเล่นเกมเยือน เพราะยังมีอีกเกมในบ้านเป็นตัวตัดสิน
ถ้าบุกชนะได้น่ะดีแน่ แต่การเสมอไม่ถือว่าเสียหายมากมายนัก ถึงจะจบที่สกอร์ 0-0 ทำให้ไม่ได้เปรียบเรื่อง
“การยิงประตูทีมเยือน” แต่ยังดีกว่าที่แพ้กลับออกมาแน่นอน
จริงอยู่ที่นัด 2 ในบ้านเราจะเสียประตูไม่ได้ แต่เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ไม่เสียประตูอยู่แล้ว กลับมาเล่นในบ้านต้องมีเป้าอย่างเดียวคือชนะเท่านั้น ยิงชนะแค่ลูกเดียวได้เข้าชิงแล้ว
ดังนั้นการไปเสมอมาเลเชียกลับมาจึงไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรเลย ส่วนสไตล์ของ
มิโลวาน ราเยวัช เน้นเกมรับแน่นมาตลอดอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ากลัวจนต้องไปอุด
แนวทางหรือวิธีการเล่นของกุนซือชาวเซิร์บเป็นสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้สั่งเล่นสไตล์ไหนต้องโดนแฟนบอลบางจำพวกคอยด่าอยู่ดี !!!
สั่งเล่นเกมรับแน่น รัดกุม เน้นผลการแข่งขัน พวกก็ด่าว่า
“รถบัสไทยแลนด์” เล่นไม่ประทับใจ ไม่สนุก ไม่น่าเชียร์
แต่ถ้าสั่งเปิดเกมรุก ลุยแหลก แต่สุดท้ายโดนยิงแพ้กลับมา พวกก็ด่าอีกว่า
“โง่” บุกทำไม บอลเตะ 2 นัดทำไมไม่เพลย์เซฟแล้วกลับมาลุ้นนัด 2 ที่บ้าน
ถึงได้บอกว่า “ราเยวัช” สั่งเล่นสไตล์ไหนก็โดนด่า เพราะความพอใจของแฟนบอลบางจำพวกไม่ได้อยู่ที่ว่าเล่นสไตล์ไหน แต่อยู่ที่ว่า
“กูอยากด่า”
ทีมชาติไทยเป็นของคนไทยทุกคน ชมได้ ด่าได้ เป็นเรื่องปกติ คนเราชอบไม่เหมือนกัน แต่บางทีต้องเข้าใจ
“เหตุผล” อะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ว่าพอไม่ได้ดั่งใจเป็นหาเรื่องด่าไปเสียหมด
“ราเยวัช” ยืนยันแนวทางมาตลอดว่าเน้นสไตล์ทำทีมจากเกมรับ หลังบ้านต้องแน่นก่อน วิธีการนี้พูดมายาวนานตั้งแต่เข้ามารับงานคุมทีมชาติไทยใหม่ๆแล้ว
แน่นอนละว่าเป็นสไตล์ที่อึดอัด ออกน่าเบื่อ ดูไม่ค่อยสนุก แต่ถามว่ารับได้มั้ย ส่วนตัวแล้วถึงตรงนี้ต้องบอกว่า
“รับได้”
ที่รับได้เพราะทำความเข้าใจว่ามันเป็น
“คาแรคเตอร์” ของทีมชาติไทยที่ “ราเยวัช” พยายามสร้างขึ้นมาตามสไตล์การทำทีมของตัวเอง
รูปเกมอาจไม่ได้บู๊ดุเดือดถูกใจ แต่เป้าหมายอยู่ที่ปลายทางเดียวกันคือผลการแข่งขัน ดังนั้นไม่ว่าจะรุกหรือรับ หากผลลัพธ์ออกมาเหมือนกันน่าจะถือว่าตอบโจทย์ได้
เท่าที่มีโอกาสสนทนากับบรรดาคนที่มีความรู้เรื่องฟุตบอลจริงๆ ทั้งผู้ฝึกสอน อดีตนักเตะทีมชาติไทย หลายคนบอกทำนองเดียวกันว่าเข้าใจ “ราเยวัช”
ประมาณว่าโค้ชทุกคนมีคาแรคเตอร์ของตัวเอง บางคนเน้นเกมรุก บางคนชอบเกมรับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือผลลัพธ์ตรงผลการแข่งขัน
“ชนะด้วยฟอร์มไม่ประทับใจ” กับ
“แพ้แบบฟอร์มประทับใจ” อย่างไหนดีกว่ากัน ?
ถึงตรงนี้อยากบอกว่าป่วยการที่จะมานั่งเถียงกันเรื่องสไตล์ทำทีมของ “ราเยวัช” หรือคอยหาเรื่องติด่าทีมฟุตบอลชาติตัวเอง เก็บแรงไว้รอเชียร์ “ช้างศึก” วันที่ 5 ธ.ค.ดีกว่า
ฟุตบอลสไตล์ “ราเยวัช” ต่อให้ไปสุดปลายทางที่ตำแหน่งแชมป์ก็ยังมิวายโดนด่า แต่ถ้าจอดป้ายก่อนกำหนดรับรองโดนหนักกว่าเยอะ ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย...เบื่อดราม่า !!!
“บับเบิ้ล”