logo-heading

ได้ครบโควต้า 3 ทีมเรียบร้อยแล้วสำหรับตั๋วเลื่อนชี้นสู่ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายหลัง เบรนท์ฟอร์ด สามารถคว้าตั๋วใบสุดท้ายได้สำเร็จด้วยการเอาชนะ สอวนซี ในรอยเพล์ออฟ

ซึ่งจะว่าไปทีมเล็กๆ แห่งนี้ก็มีเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย แม้นี้จะเป็นเพียงครั้งแรกกับการได้โอกาสลุยศึกพรีเมียร์ลีก ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราเลยจะพาไปทำความรู้จักกับทัพ “ผึ้งน้อย” ให้มากขึ้น ว่ากว่าจะประสบความสำเร็จในวันนี้ พวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง

สโมสรเล็กๆ ที่ค่อยๆ ไต่เต้า

เบรนท์ฟอร์ด ก่อตั้งสโมสรเมื่อปี 1889 ก่อนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกสมัครเล่น และค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาจนกระทั่งเลื่อชั้นมาสู่การแข่งขันในระบบฟุตบอลลีกเมื่อฤดูกาล 1900-01 ซึ่งชีวิตส่วนใหญ่สโมสรฟุตบอลแห่งนี้ก็วนเวียนอยู่กับลีกล่างๆ ของแดนผู้ดี ระยะเวลาในช่วงนั้นพวกเขาคว้าแชมป์ดิวิชั่น 3 สลับกับตกชั้นอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะเคยเลื่อนมายังลีกสูงสุดมาแล้วในชื่อเดิมอย่างดิวิชั่น 1 ซึ่งเมื่อทางฟุตบอลลีกอังกฤษได้ทำการปรับเปลี่ยนการแข่งขันแบบใหม่พวกเขาก็ต้องไต่เต้าจากลีกล่างอีกครั้ง ก่อนที่ในช่วงซีซั่น 2008-09 ทัพ "เดอะ บีส์" ก็สามารถขึ้นหาสู่ลีก ทู อังกฤษ ได้สำเร็จ และใช้เวลาอยู่ราว 5 ปี ในการขยับเลื่อนชั้นมายังลีก วัน  จนแล้วจนรอดพวกเขาก็ประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการคว้าตั๋วเลื่อนชั้นสู่ศึก เดอะ แชมเปี้ยนส์ลีกชิพ ภายหลังฤดูกาล 2013-14 พวกเขาจบอันดับ 2 ของลีก วัน เกาะติดแชมป์ในซีซั่นนั้น วูลฟ์แฮมป์ตัน ขึ้นมาแบบติดๆ ส่วนการแข่งขันในลีกรองนั้นปีแรก เบรนท์ฟอร์ด  ก็สามารถโชว์ฟอร์มเก่งขึ้นไปจบได้ถึงอันดับ 5 คว้าตั๋วเข้าสู่รอบเพลย์ออฟได่้สำเร็จ แต่ทว่าการโคจรไปพบกับ มิดเดิลสโบรห์ แน่นอนนั้นไม่ใช่งานที่ง่ายเลย พวกเขาโดนถลุงยับ 2 นัดด้วยสกอร์รวม 5-1 พลาดตั๋วขึ้นพรีเมียร์ลีกไปแบบน่าเสียดาย หลังจากนั้นอีก 4 ฤดูกาลพวกเขาก็เวียนวายจบอยู่กลายตารางไม่ได้หวือหวาคว้าตั๋วเลื่อนชั้น หรือเพลย์ออฟ จนกระทั่งเมื่อซีซั่นที่แล้วที่ทีมสามารถคว้าโอกาสครั้งสำคัญไว้ได้อีกครั้งนั้นก็คือตั๋วเพลย์ออฟเพื่อแข่งขันขึ้นมาสูดลมหายใจบนลีกสูงสุด ทำความรู้จัก เบรนท์ฟอร์ด น้องใหม่แห่งเวทีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ความพยายามถึง 3 ครั้ง

อย่างที่เรียนไปข้างต้นนะครับว่าเพียงปีแรกของการลงเล่นบนเวทีลีกรอง เบรนท์ฟอร์ด ก็สามารถคว้าตั๋วเพลย์ออฟได้ทันที ก่อนที่ในอีก 6 ปีต่อหรือ หรือเมื่อซีซั่นที่แล้วภายใต้การทำทีม โทมัส แฟรงค์ พวกเขาเข้าป้ายจบในอันดับที่ 3 ของตารางคว้าตั๋วเพลย์ออฟอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ทัพ "เดอะ บีส์" ทำได้ดีกว่าเดิมด้วยการผ่านด่าน สวอนซี เข้าไปสู่รอบชิงที่ เวมบลีย์ ได้สำเร็จ ซึ่งคู่แข่งด่านสุดท้ายคือ ฟูแล่ม แต่ด้วยลูกเก๋าของคู่แข่ง ทำพวกเขาพลาดท่าไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยการพ่ายแพ้ไป 1-2 แม้จะอกหักอีกครั้งแต่นั้นไม่ได้ทำให้กำลังใจของพวกเขาสูญหาย กับฤดูกาลใหม่ โทมัส แฟรงค์ ยังคงร้อนแรงเช่นเดิม พร้อมพาทีมจบอันดับ 3 อีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ได้มาประลองฝีมือในรอบเพลย์  ย้อนกลับไปพวกเขาผ่านเข้ามานั้นครั้งแรกจอดป้ายที่รอบรอง ครั้งสองอกหักที่รอบชิง ฉะนั้นครั้งที่สามพวกเขาก็ทำสำเร็จจนได้ ด่านแรก เบรนท์ฟอร์ด เอาชนะ บอร์นมัธ ได้สำเร็จด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-2 ก่อนที่ในรอบชิงจะโคจรมาพบกับ สวอนซี ที่พวกเขาเคยชนะมาแล้ว และเป็นอีกครั้งที่สามารถย้ำชัยได้ สกอร์บอร์ดที่เวมบลีย์บ่งบอกตัวเลขว่า 2-0 ชัยชนะตกเป็นของทีมจากลอนดอนทีมนี้ ฉะนั้นความพยายามครั้งที่ 3 สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย ทำให้ เบรนท์ฟอร์ด กลายเป็นทีมที่ 50 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เล่นใน พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1992 อีกทั้งนี่คือประวัติศาสตร์ของสโมสรหลังได้เลื่อชั้นสู่พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก และหยุดถิติอันเลวร้าย หลังจากก่อนหน้านี้ได้เพลย์ออฟเลื่อนชั้นรวมทุกดิวิชั่นไป 9 ครั้ง ต้องเป็นฝ่ายพลาดท่าไปเสียหมด

กุนซือประวัติศาสตร์

นายใหญ่ที่มีนามว่า โทมัส แฟรงค์ สามารถจารึกได้ว่าเป็นกุนซือประวัติศาสตร์ของสโมสรในการพาทีมเลื่อนชั้นมายังพรีเมียร์ลีก จุดเริ่มต้นของเจ้าตัวกับ เบรนท์ฟอร์ด คือการเข้ามาเป็นผู้ช่วยโค้ชตั้งแต่ปี 2016 จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2018 ตำแหน่งกุนซือว่างลงสโมสรเลยเลือกที่จะใช้คนในที่อยู่กับทีมมาเป็นเวลานานอย่างเขาในการทำคุมทีม  ย้อนกลับไป แฟรงค์ เองก็ไม่ได้มีประสบการณ์งานโค้ชมากเท่าไหร่นัก โปรไฟล์ของเจ้าตัวคือการคุมทีมชาติเดนมาร์กไล่มาตั้งแต่ชุดยู-16, ยู-17 และ ยู-19 ก่อนที่จะโยกย้ายไปคุมทัพ บรอนบี้ ทีมในบ้านเกิดอย่างเดนมาร์กในช่วงระหว่างปี 2013-2016 และมาจับงานผู้ช่วยต่อทันทีหลังแยกทาง ฤดูกาลแรกที่คุมทัพ "เดอะ บีส์" เขาพาทีมจบอันดับที่ 11 เก็บไป 64 แต้ม ส่วนขวบปีที่สองที่คว้าอันดับ 3 ผลงานกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วยการกวาดไป 81 คะแนน ก่อนที่ซีซั่นที่ผ่านมาแม้จะจบในอันดับเดิมแต่คะแนนเก็บมาได้เพิ่มเป็น 87 แต้ม พร้อมโบนัสในการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ปัจจุบัน โทมัส แฟรงค์ ในวัย 41 ปี  ถือว่าเป็นกุนซือหนุ่มในถนนเส้นทางนี้ และมีฝีมือที่น่าสนใจไม่น้อยการพาทีมที่ไม่ได้มีสตาร์เด่นดังมาได้ไกล และพัฒนาในทุกขวบปี ฉะนั้นแล้วกับเวทีพรีเมียร์ลีกมันน่าสนใจมากว่าเขาจะพาทีมไปได้ไกลแค่ไหน และจะสร้างเซอร์ไพรส์จนแสงสปอร์ตไลท์ตามจับจ้องได้หรือเปล่า ทำความรู้จัก เบรนท์ฟอร์ด น้องใหม่แห่งเวทีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

นักเตะฟอร์มเด่น

อีธาน พินน็อค ปราการหลังวัย 28 ปี ถือว่าเป็นแนวรับตัวหลักของสโมสรในช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา โดยจุดเด่นของเจ้าตัวอยู่ที่ส่วนสูง 194 เซนติเมตร ฉะนั้นแล้วเรื่องลูกกลางอากาศจึงเป็นจุดเด่นของ พินน็อค ที่เอาไว้เก็บกวาดบอลโยนของคู่แข่งได้เป็นอย่างดี  ซึ่งซีซั่นที่ผ่านมา พินน็อค ลงสนามในทุกรายการให้กับ เบรนท์ฟอร์ด ไปมากถึง 48 นัด พร้อมเติมขึ้นไปผลิตสกอร์ได้อีก 2 ตุง ฉะนั้นแล้วด้วยผลงานในลีกรองเขาถือว่าสอบผ่านแบบฉลุย แต่กับศึกพรีเมียร์ลีกยังไงเสียคู่แข่งที่เขาจะต้องเผชิญมันยากกว่าเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว เซร์จี้ คาญอส แนวรุกสัญชาติสเปนที่เติบโตมาจากศูนย์ฝึกลา มาเซีย ของ บาร์เซโลน่า แต่ทว่าไม่สามารถแจ้งเกิดกับทีมได้ และเคยได้โอกาสโยกย้ายไปเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล มาแล้วแต่ก็ไม่อาจแทรกขึ้นสู่ชุดใหญ่ได้ก่อนถูกปล่อยออกมาจากทีมเมื่อช่วงปี 2016 โดยเป็น นอริช ได้ตัวไปครอบครอง โดย เซร์จี้ คาญอส ย้ายมาเป็นสมาชิกของทัพ "ผึ้งน้อย" เมื่อปี 2017 ซึ่งย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น 2 ปี เขาเคยเป็นนักเตะของทีมมาแล้วภายใต้สัญญายืมตัวจาก "หงส์แดง" ส่วนผลงานในฤดูกาลนี้ด้วยบทบาทตัวริมเส้นเขากระทุ้งไปได้ 9 ประตู พ่วงด้วย 10 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 55 เกม ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่น้อย บรายาน เอ็มเบวโม่ หนึ่งในแข้งเกมรุกที่เป็นตัวหลักในการไล่ล่าประตู ผลงานของ บรายาน เอ็มเบวโม่ ขึ้นแท่นเป็นจอมแอสซิสต์ของทีมเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาตัวเลข 11 ครั้ง พร้อมกับยิงอีก 8 ประตู เป็นเครื่องการันตีความร้อนแรงของเจ้าตัว โดยปีกขวาวัย 21 ปี ย้ายมาร่วมทัพ เบรนท์ฟอร์ด เมื่อช่วงซัมเมอร์ 2019 จากทีมในบ้านเกิดอย่าง ทรัวส์ ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านยูโร ก่อนที่จะร่ายมนต์จนพาทีมจบอันดับ 3 ได้ 2 ปีติดต่อกัน และด้วยผลงานแบบนี้ทำให้ซีซั่นหน้าถ้าเขายังอยู่กับทีมถือว่าน่าสนใจพอควรว่าจะใช้ความเร็วปั่นป่วนเกมรับของเหล่าบิ๊กทีมได้มากขนาดไหน อีวาน โตนี่ย์ หัวหอกชาวอังกฤษวัย 25 ปี คือตัวความหวังในการจบสกอร์ของ เบรนท์ฟอร์ด เลยก็ว่า เพราะด้วยผลงานกระหน่ำไป 32 ประตู ขึ้นแท่นเป็นดาวซัลโวของลีกมันการันตีความยอดเยี่ยมของเขาได้มากเลยทีเดียว ซึ่ง โตนี่ย์ เพิ่งย้ายมาเป็นสมาชิกของทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมานี่เองจาก ปีเตอร์โบโร่ ด้วยค่าตัว 5.6 ล้านยูโร และนั้นคือการลงทุนที่โคตรคุ้มค่าของทีม เพราะการผลิตสกอร์ในตัวเลขที่กล่าวไปมันช่วยให้ทีมคว้าตั๋วลุยศึกพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ และสิ่งที่น่าสนใจคือเขาจะสามารถต่อยอดความร้อนแรงตรงนี้ได้มากขนาดไหนกับเวทีลีกสูงสุด แต่ด้วยดีกรีดาวซัลโว อีวาน โตนี่ย์ น่าจะได้รับความสนใจมากพอสมควรเลยทีเดียว

- Paolinho -

logoline