logo-heading

ค่ำคืนวันพฤหัสแบบนี้ เป็นคิวของถ้วยเล็กยุโรป ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งแม้จะเป็นถ้วยเล็ก แต่ทีมใหญ่ๆ ตกลงมาเล่นกันเพียบ โดยตอนนี้เดินทางมาถึงเลกแรกของรอบ 16 ทีมสุดท้ายแล้ว

  "บิ๊กแมตซ์" คู่ใหญ่ที่สุดของรอบนี้ก็คงหนีไม่พ้น เอซี มิลาน ทีมยักษ์หลับที่เหมือนกำลังจะตื่นแล้ว ต้องดวลกับ อาร์เซน่อล ที่กำลังเป๋อย่างรุนแรง ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการป๊ะหน้ากันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2012 ที่ทั้งคู่ดวลกันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งตอนนั้นเกมจบลงอย่างไร หากใครจำไม่ได้วันนี้ "ขอบสนาม" จะพาท่านไปย้อนความทรงจำกัน บอกเลยว่ามันส์มว๊ากก   เกมเลกแรกโม่แข้งกันในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2012 ที่สนาม ซาน ซิโร่ "ปีศาจแดง-ดำ" เป็นเจ้าบ้านก่อน ทั้ง 2 ฝ่ายจัด 11 ตัวจริงชุดที่ดีที่สุดในเวลานั้นลงเล่น ฝั่ง มิลาน นำมาโดย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, โรบินโญ่, คลาเร้นซ์ เซดอร์ฟ,  ติอาโก้ ซิลวา และ มาร์ค ฟาน บอมเมล ขณะที่ทัพ "เดอะ กันเนอร์ส" ยุคนั้นก็มีทั้ง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, โทมัส โรซิคกี้, มิเกล อาร์เตต้า และ โธมัส แฟร์มาเล่น เป็นต้น โหมโรงคืนนี้! ย้อนความจำ มิลาน ฉะ ปืน ดูจากรายชื่อตัวผู้เล่น คาด่าน่าจะเป็นเกมที่สนุกสูสี ทว่าป่าวเลยเพราะเริ่มมาได้แค่ 15 นาที เควิน พริ้นซ์ บัวเต็ง ก็พักอกในเขตโทษก่อนจะกระโดดฮาล์ฟวอลเลย์ บอลเสียบใต้คานเข้าไปอย่างสวยงาม เจ้าถิ่นขึ้นนำ 1-0 จากนั้น "ปืนใหญ่" ก็เริ่มเสียกระบวน มาโดนลูกที่ 2 ในช่วงท้ายครึ่งแรก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ใช้สปีดแหวกหนีมาทางริมเส้นฝั่งซ้ายลากจี้เข้าเขตโทษ ก่อนจะเปิดให้ โรบินโญ่ วิ่งสอดมาโหม่งตุงตาข่ายเข้าไป หนีห่างเป็น 2-0 ก่อนจบครึ่งแรก   ครึ่งหลัง อาร์แซน เวนเกอร์ ตัดสินใจแก้เกมส่ง เธียร์รี่ อองรี ที่ย้ายกลับมาช่วย อาร์เซน่อล สั้นๆ ด้วยสัญญายืมตัว ลงมาเล่นแทน ธีโอ วัลค็อตต์ แต่พี่ห้อยลงมาเหงื่อยังไม่ทันออก ก็โดนยิงทิ้งห่างเป็น 3-0 จากการแอสซิสต์ของ ซลาตัน ให้กับ โรบินโญ่ เจ้าเก่าซัดนอกกรอบเข้าประตูไป ในนาทีที่ 49 เท่านั้นไม่พอ นาทีที่ 79 "ปืนใหญ่" ก็มาเสียจุดโทษอีกจากจังหวะที่ โยฮัน ฌูรู ไปดึง ซลาตัน ล้มในกรอบเขตโทษ และก็เป็นพี่ตั้นเองนี่แหละที่ลุกขึ้นมาสังหารไม่พลาด จบเกม "ปีศาจแดง-ดำ" อัด "ปืนโต" กระบอกแตกกลับอังกฤษไป 4 เม็ด โอกาสเข้ารอบสูงลิบลิ่ว แม้สกอร์ในเลกแรกจะขาดกระจุย แต่ เอซี มิลาน ของ แม็กซ์ อัลเลกรี ในเวลานั้นก็ไม่ประมาท ยังจัดชุดใหญ่บุกมาเยือนกรุงลอนดอน นำโดย 2 คู่กองหน้า ซลาตัน กับ โรบินโญ่ เช่นเคย กลับเป็นเจ้าถิ่นอย่าง อาร์เซน่อล มากกว่าที่ดูชื่อนักเตะแล้ว เป็นรอง แถมตัวสำรองเอาไว้เปลี่ยนเกมยังไม่มีอีก ดีสุดบนม้านั่งสำรองตอนนั้นคือ มารูยาน ชามัคห์ ส่วนกองหน้าอีกรายคือ ปาร์ค ชู-ยอง!! ตัวผู้เล่นแบบนี้กับโจทย์ต้องยิง มิลาน 4 ลูก และห้ามเสียประตูเพื่อยื้อไปต่อเวลา มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย โหมโรงคืนนี้! ย้อนความจำ มิลาน ฉะ ปืน แต่ อาร์เซน่อล ก็เปิดฉากด้วยการพิสูจน์ว่า "Impossible Is Nothing" เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ! ได้ประตูขึ้นนำเร็วตั้งแต่หัววันจากการโขกของ โลร็องต์ กอสเซียลนี่ ในนาทีที่ 7 ปลุกความหวังขึ้นมาได้นิดนึงขออีก 3 ลูก จาก 83 นาทีที่เหลือ หลังได้ประตูขึ้นนำ "ปืนใหญ่" ก็ใส่เกียร์ 5 เดินหน้าบุกแหลกจนมาได้ประตูที่ 2 จาก โทมัส โรซิคกี้ ในนาทีที่ 26 เท่านั้นไม่พอท้ายครึ่งแรกมาได้จุดโทษอีก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ซัดไม่พลาด อาร์เซน่อล ขึ้นนำ 3-0 เมื่อจบครึ่งแรก!   แน่นอนว่าภาพหลอนในนัดชิงกับ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2005 ต้องผุดขึ้นมาในหัวของผู้เล่น มิลาน แน่ๆ ฝันร้ายแบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกมั้ย? แต่ความกดดันคงต่างกันเพราะนี่เพิ่งเป็นแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ตัดสลับมาคาดเดาไม่ยากเลยว่าในห้องแต่งตัวของฝั่งเจ้าถิ่น คงมีการปลุกใจกันน่าดู เพราะครึ่งแรกโชว์ฟอร์มได้แจ่มแมวซะขนาดนี้ ขออีกแค่ลูกเดียวจาก 45 นาทีที่เหลือ ก็จะได้ต่อเวลาพิเศษ โมเมนตั้มก็จะมาหาพวกเขาด้วย ทว่าท้ายสุด ปาฏิหารย์ก็ไม่เกิดขึ้น เพราะครึ่งหลัง มิลาน ลงไปเล่นตั้งรับกันลึก อาร์เซน่อล พยายามถาโถมบุกเข้าใส่ตลอด 45 นาทีที่เหลือ ยิงแล้วยิงอีก ไม่ติดเซฟ ก็ติดบล็อค ไม่ติดบล็อคก็ยิงออกไปเอง ขาดๆ เกินๆ แล้วอย่างที่ผมบอกไปว่าตัวสำรอง ก็เกรดต่ำเหลือเกิน ส่ง มารูยาน ชามัคห์ กับ ปาร์ค ชู-ยอง ลงมาก็ไม่สามารถพลิกเกมได้ สุดท้ายก็ชนะไปได้แค่ 3-0 ต้องกระเด็นตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 4-3

และนี่คือความหลังเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่ มิลาน เจอกับ อาร์เซน่อล รอบ 16 ทีมสุดท้ายเหมือนกัน แม้ว่าจะคนละถ้วย แม้จะถ้วยเล็กกว่า แต่ก็เดิมพันด้วยศักดิ์ศรี และโควต้า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าด้วย หากไปได้ไกลถึงแชมป์ เพราะดูแล้วโอกาสที่ทั้ง 2 ทีมจะจบท้อปโฟร์ในลีกนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ใครจะชิงความได้เปรียบในเลกแรกได้ก่อน คืนนี้ตี 1 รู้กัน!

ชิน ชินพัฒน์

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline