logo-heading

ผ่านพ้นไปแล้วเป็นที่เรียบร้อยสำหรับเกมการแข่งขันศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แอตเลติโก มาดริด ผลปรากฎว่าเป็นทัพ "ตราหมี" ที่ตะปบ "หงส์แดง" ในเกมนัดที่ 2 ด้วยสกอร์ 2-3 กรุยทางเข้าสู่รอบต่อไปด้วยสกอร์รวม 2 นัด 2-4

ซึ่งภายหลังจบเกมในนัดที่สอง ก็ได้มีประเด็นที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งวันนี้ ขอบสนาม ของเราเลยจะพาไปชม 5 สิ่งที่ได้รับจากเกมในนัดนี้ จะมาอะไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย 5 สิ่งที่ได้จากเกม หมี บุกตะปบ หงส์ คาถิ่น 

แท็คติกของ ซิเมโอเน่

กลยุทธ์ของ ซิเมโอเน่ ในเกมนัดแรกคือการให้ลูกทีมถอยลงไปตั้งรับ และรอจังหวะสวนกลับ ซึ่งมันใช้ได้ผลเปนอย่างมาก ส่วนเกมนัดที่สองพวกเขาก็มาในรูปแบบเดิมนั้นก็คือตั้งรับให้แข็งแกร่งมากที่สุด และรอใช้จังหวะสวนกลับเพื่อกดดันคู่แข่ง แน่นอนว่าเมื่อเลือกเล่นรูปแบบนี้จะต้องพบเจอความกดดันจากเกมรุกของ ลิเวอร์พูล อย่างหนักหน่วง แต่พวกเขาก็สามารถหลุดพ้นมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ ซิเมโอเน่ สมควรได้รับเครดิตคำขมไปเต็มๆ ที่เลือกจับแท็คติกมาใส่ให้กับทีม จนทำมาซึ่งผลการแข่งขันที่น่าประทับใจ และผ่านเข้าสู่รอบต่อไปพร้อมมอบความสุข รอยยิ้มให้แฟนบอล "ตราหมี"

ผู้รักษาประตู

เอเดรียน ได้รับคำชื่นชมพอสมควรภายหลังจากช่วงต้นฤดูกาลเจ้าตัวได้รับโอกาสลงสนามแทนที่ของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ได้รับบาดเจ็บไป  แต่ทว่าในช่วงหลังดูเหมือนความผิดพลาดจะเดินเข้ามาข้างกายเขาบ่อยครั้งมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงเกมในนัดนี้ด้วย สิ่งนึงที่ต้องยอมรับในเกมค่ำคืนนี้ก็คือ เอเดรียน แทบไม่มีบทบบาทกับเกมเสียเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ทัพ "หงส์แดง" จะเป็นฝ่ายปูพรหมบุกเข้าใส่คู่แข่ง เรียกได้ว่านายทวารชาวสเปนทำได้แค่วิ่งไป-มา ยืดเส้นสายเท่านั้นเอง ซึ่งนี่อาจเป็นอีกจุดที่เป็นข้อเสียเล็กๆ ที่เมื่อนายทวารไม่ได้เล่นกับบอลเลย แต่แล้วความผิดพลาดก็เกิดขึ้นจนได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษที่เขาเปิดบอลพลาด นำมาซึ่งประตูตีไข่แตกของ แอต.มาดริด นั้นมันสำคัญมากจริงๆ เพราะมันเป็น 'อเวย์ โกล' ของผู้มาเยือน บวกกับสถานการณ์ ณ ตอนนั้นทำให้ทีมต้องการประตูเป็นอย่างมาก  ซึ่งมันแตกต่างกับทางนายทวาร "ตราหมี" อย่าง แยน โอบลัค เป็นอย่างมากที่งัดฟอร์มเทพเซฟเป็นพัลวัน จนได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ มาครอบครอง โดยตลอด 120 นาที โอบลัค ต้องเซฟแบบเน้นๆ ถึง 8 ครั้ง เรียกได้ว่าถ้าไม่เกินกำลังหมอนี้เก็บกินได้หมดนั้นเอง 5 สิ่งที่ได้จากเกม หมี บุกตะปบ หงส์ คาถิ่น 

เกมใหญ่ๆ ไวนัลดุม ชอบ

หากจะพูดถึงตัวละครลับที่มักโผล่ออกมาช่วยทีมทำประตูได้เป็นประจำในเกมที่ทีมต้องการมักจะมีชื่อของ จอร์จินิโอ ไวนัลดุม ขึ้นสกอร์บอน์ดอยู่เสมอ โดยย้อนกลับไปไม่ว่าจะเป็นประตูในเกมกับ โรม่า เมื่อรอบรองชนะเลิศเมื่อสองซีซั่นที่แล้ว หรือ 2 ประตู ใส่ บาร์เซโลน่า เมื่อซีซั่นที่แล้ว เฉกเช่นเดียวกับที่เกมเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาสตาร์ชาวฮอลแลนด์ก็เป็นผู้จุดประกายความหวังให้ทีมอีกครั้ง รวมไปถึงเป็นคนเปิดบอลให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ โขกประตูที่ 2 ให้ทีม เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งบิ๊กเกมจริงๆ สำหรับแข้งวัย 29 ปี รายนี้

หงส์แดง ควรมีสตาร์ในแดนหน้าเพิ่ม

อาจฟังดูเป็นเรื่องแปลกๆ ว่าทำไม ลิเวอร์พูล ต้องหาสตาร์ในแดนหน้าเพิ่มเพราะพวกเขาก็มีทั้ง ฟีร์มีโน่, ซาลาห์ และมาเน่ อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าบางทีถ้าทีมต้องการผู้เปลี่ยนแปลง หรือสร้างความแตกต่างในสนาม หรืออยากได้แข้งที่คอยทะลุทะลวงแนวรับคู่แข่งที่รับลึกแบบนี้ ซึ่งพวกเขายังไม่มีตัวเลือกในแบบนี้บนม้านั่งสำรอง และด้วยเหตุนี้มันคงไม่แปลกที่ทีมจำเป็นต้องหาแข้งระดับมีอิทธิพลเปลี่อนเกมได้ มาอยู่ในทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ ไม่ว่าจะเป็น ติโม แวร์เนอร์ หัวหอกของ ไลป์ซิก ที่มีข่าวพัวพันกันอย่างยาวนาน หรือเปาโล ดีบาล่า แข้งแนวรุกของ ยูเวนตุส ก็ดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

ความเกรี้ยวกราดของ ดิเอโก้ คอสต้า

ในช่วงที่เกมดำเนินไปจนถึงนาทีที่ 55 ซิเมโอน่ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวคนแรกนั้นก็คือการส่ง มาร์กอส ยอเรนเต้ ลงสนามไปแทนที่ของ ดิเอโก้ คอสต้า ซึ่งหัวหอกทีมชาติสเปนดูเหมือนจะแสดงอาการไม่พอใจเป็นอย่างมาก เดินบ่นอะไรก็ไม่รู้มาตลอดก่อนที่จะมาแตะมือเปลี่ยนตัว ซึ่งขณะเดินไปที่ซุ้มม้านั่งสำรองเจ้าตัวก็แสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างเต็มคราบนั้นก็คือการเตะอะไรสักอย่างบนพื้น โอเคล่ะว่าคุณอยากอยู่ในสนามต่อ อยากลงไปเล่นเพื่อทีมต่อ แต่เมื่อสถานการณ์แบบนั้นมันควรเคารพการตัดสินใจของเจ้านาย ไม่ใช่การแสดงออกด้วยท่าทาง และภาษากายแบบนั้น ซึ่งเชื่อว่าหลังจบเกม "เอล โชโล่" น่าจะมีการเรียกมาปรับทัศนะคติกันอย่างแน่นอน
logoline