logo-heading
ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส ทุกฝ่ายทุกวงการต่างช่วยกันต่อสู้เพื่อให้โลกผ่านวิกฤตนี้ไป ในส่วนทางก้านวงการฟุตบอลเองก็เช่นกัน อย่างไรก็ตามช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวดราม่าสร้างความผิดหวังให้กับหลายฝ่ายไม่น้อย ในเรื่องของการพักงานพนักงานชั่วคราวและผลักภาระไปให้รัฐบาลของประเทศ วันนี้ขอบสนามจะมาแตกประเด็นเรื่องนี้กัน ก่อนหน้าจะเกิดประเด็นดราม่า ทางด้าน เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เขียนจดหมายถึงแฟน ๆ ใจความว่าทุกการตัดสินใจเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับเป็นไปตามระบบรักษาความปลอดภัย และเพื่อสุขภาพของพวกเราเอง ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพตัวเอง โดยพวกเราจะอยู่เคียงข้างกัน สู้และก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน พร้อมกับนำทีมเหล่านักเตะออกมาอัดคลิปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณะสุข ส่วน ซาดิโอ มาเน่ ได้ทำการบริจาคเงินจำนวน 45,000 ยูโร ให้กับหน่วยงานต่อสู้กับ โคโรน่าไวรัส ในบ้านเกิด นอกจากนี้ผู้เล่นอีกหลายรายก็ได้มีการบริจาคเงิน สำหรับแฟนบอลเพื่อสนับสนุนในโครงการฟู้ดแบงก์ ซึ่งสโมสร ลิเวอร์พูล มีการจับมือร่วมกันทำงานกับ เอฟเวอร์ตัน แก้ไขปัญหาและมอบอาหารให้แก่ผู้ยากไร้ในลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ไซด์ในปัจจุบัน ขณะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม ลิเวอร์พูล เป็นแกนนำ ติดต่อประสานงานกับกัปตันทีมคนอื่น ๆ ในลีก เพื่อหาทางระดมทุนช่วยทีมแพทย์สู้กับเชื้อโควิด-19 ซึ่งอยู่ในระหว่างการพูดคุยกับบรรดากัปตันทีมในพรีเมียร์ลีก หลังจาก แม็ตต์ แฮนค็อก เลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ออกมาขอให้นักเตะพรีเมียร์ลีกลดค่าจ้างเพื่อช่วยเหลือสังคม โดยปัจจุบัน พรีเมียร์ลีก ประกาศเลื่อนการแข่งขันออกไปไร้กำหนดเรียบร้อยแล้ว และนักเตะยังได้ปรึกษากับสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ หรือ พีเอฟเอ และสหภาพนักเตะในเรื่องนี้ ซึ่งการพูดคุยเป็นไปอย่างราบรื่น คาดว่าจะระดมทุนช่วยบุคลากรทางการแพทย์ได้ไม่น้อย อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องฟีลกู้ดทั้งหมดของ ลิเวอร์พูล ต้องถูกประเด็นดราม่ากลบทันที เมื่อ ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรลำดับที่ 5 ต่อจาก นิวคาสเซิ่ล, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, บอร์นมัธ และ นอริช ซิตี้ ที่ประกาศพักงานลูกจ้างของสโมสรชั่วคราว จำนวนกว่า 200 คน ซึ่งจะทำให้ทุกคนได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลจำนวน 80 % ของรายได้ ขณะที่สโมสรจะจ่ายส่วนที่เหลืออีก 20 % เพื่อให้พนักงานยังคงได้รายได้เต็มจำนวน นอกจากนี้ยังมีการหารือลดค่าเหนื่อยผู้เล่นในทีมด้วย สำหรับนโยบายของรัฐบาลคือช่วยเหลือลูกจ้างของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โดยจ่ายเงินเป็นจำนวน 80% ของรายได้ แต่จะจ่ายให้ไม่เกินรายละ 2,500 ปอนด์ โดยสโมสรได้แถลงการณ์ชี้แจงเรื่องนี้ไว้ว่า "ก่อนหน้าจะมีการตัดสินใจประกาศพักงาน ผู้บริหารระดับสูงของสโมสร ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับทีมและส่วนอื่น มีความมุ่งมั่นและพยายามหาทางที่จะสร้างความมั่นคงในตำแหน่งงานของลูกจ้างทุกคนของสโมสรในช่วงระยะเวลาวิกฤตที่ไม่อาจคาดเดาได้นี้ เจ้าหน้าเหล่านั้นจะได้รับเงินเดือนของพวกเขาเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีสมาชิกของเจ้าหน้าที่ต้องเจอผลกระทบที่เสียหายทางด้านการเงิน" เจาะประเด็นดราม่า ลิเวอร์พูล พักงานลูกจ้างให้รับเงินจากรัฐ แต่ดูเหมือนท่าทีของสโมสรในครั้งนี้สร้างความผิดหวังให้แก่หลายฝ่าย รวมถึงในหมู่ลูกจ้างพนักงานของสโมสร รวมถึงเหล่าแข้งตำนานของทีมรายคน และกลายเป็นประเด็นดราม่า เพราะเสียงแตกออกเป็น 2 ฝ่าย โดยมองว่าไม่เหมาะสม สื่อ, คอลัมนิสต์ และ อดีตนักเตะ มองว่าไม่น่าเคลื่อนไหวในมุมแบบนี้ เพราะเปรียบเสมือนการไปเบียดเบียนงบประมาณโดยเกินความจำเป็นในยามวิกฤต และเสียศักดิ์ศรี "สโมสรเรียกสต๊าฟฟ์ว่าเป็นครอบครัว แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกว่าฉันเป็นสมาชิกของครอบครัวเลย ทำไมสโมสรที่มีผลประกอบการหลายล้านต้องมาพึ่งแผนของรัฐบาลในการดูแลลูกจ้าง ทั้งที่ยังมีธุรกิจอื่นอีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ" พนักงานรายหนึ่งเปิดใจ "น่าประหลาดใจจากข่าวที่ ลิเวอร์พูล ใช้ประโยชน์จากการพักงาน ด้วยการให้พนักงานที่ไม่ได้เป็นนักเตะรับเงิน 80% จากรัฐบาล นั่นไม่ใช่โครงการที่ออกแบบมาอย่างนั้น มันขัดกับศีลธรรมและค่านิยมของสโมสรที่ผมรู้จัก" ดีทมาร์ ฮามันน์ โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ของตัวเอง "เจอร์เก้น คล็อปป์ แสดงความเห็นอกเห็นใจกับทุกคนในช่วงเริ่มต้นการระบาดของเชื้อไวรัส เหล่านักเตะชุดใหญ่เองก็มีส่วนร่วมอย่างมากในการลดค่าจ้างของนักเตะใน พรีเมียร์ลีก จากนั้นความเคารพ และความปรารถนาดีทั้งหมดกลับต้องหายไป มันแย่มากเลย ลิเวอร์พูล" เจมี่ คาร์ราเกอร์ โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ "ผมไม่รู้ว่ามีแฟน ลิเวอร์พูล คนไหนจะคิดเป็นอย่างอื่นมากไปกว่าผิดหวังและรังเกียจการกระทำของสโมสรที่พักงานลูกจ้าง มันเป็นเรื่องที่พลาดหนักมาก" ทวิตของ คอลลีมอร์ เจาะประเด็นดราม่า ลิเวอร์พูล พักงานลูกจ้างให้รับเงินจากรัฐ จากดราม่านี้จริงแล้วหากวิเคราะห์ก็มองได้ 2 มุมมอง 1. สโมสรก็ต้องจ่ายภาษีให้รัฐอยู่แล้ว แล้วคิดว่าได้คืนกลับมาบ้างในสถานการณ์เช่นนี้บ้างคงไม่เป็นไร เพราะบอลก็ไม่มีเตะรายได้ขาดหาย ทางผู้บริหารก็ต้องมองระยะยาว เพื่อให้สโมสรสามารถไปต่อได้ในวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ อีกอย่างลูกจ้างก็ยังได้เงินเดือนเต็มจำนวนแม้จะมาจากทางรัฐ 80% ก็ตาม 2. เป็นสโมสรใหญ่ในอังกฤษ นอกเหนือจาก สเปอร์ส ที่เข้าร่วมโครงการ หลายคนมองว่า ทั้งที่มีกำไรเยอะ จ่ายเงินพนักงานได้อย่างสบาย ๆ ทำไมยังต้องรับเงินรัฐ ทั้งที่เงินส่วนนี้น่าจะไปช่วยเหลือธุรกิจรายย่อยอื่นไม่ให้ล้มละลายมากกว่า เหมือนประเภทคนที่ยังมีอันจะกินลงทะเบียนรับเงิน 5000 บาท และตกไปไม่ถึงท้องคนที่เดือดร้อนจริง ๆ ลิเวอร์พูล อาจไม่ได้ผิด เพราะใช้สิทธิ์ที่พึงมี แต่มันดูผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้นักเตะและ คล็อปป์ ต่างก็ออกมาให้กำลังใจ ช่วยระดมทุน มีหักค่าเหนื่อยบางส่วน เพื่อให้พนักงานยังคงไม่ตกงาน และไม่ผลักภาระให้เจ้าหน้าที่มากเกินไป ทุกอย่างเลยดูหักล้างไป เลยสร้างความไม่พอใจให้กับบุคคลทั่วไปรวมถึงสต๊าฟฟ์โค้ชบางคน มันผิดที่ผิดเวลาและเร็วเกินไปที่ ลิเวอร์พูล จะร่วมโครงการ พราะสโมสรระดับกลางบางทีมยังไม่ได้เข้าร่วม แต่ ลิเวอร์พูล กลายเป็นสโมสรใหญ่ที่ดันใช้สิทธิ์ก่อนชาวบ้าน มีแค่ 5 สโมสร ส่วน เชลซี กับ อาร์เซน่อล กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ให้กำลังใจทุกฝ่าย เราไม่รู้ว่าการบริหารหรือเงินก้อนการลงทุนด้านธุรกิจ การวางแผนด้านในสโมสรเป็นใช่ไร หากจะตัดสินว่าใครผิดหรือไม่เหมาะสม ก็คงบอกได้แต่ว่า ลิเวอร์พูล ก็คือผู้ประกอบการ และใช้สิทธิ์ที่พึงมีเพื่อพนักงานของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องเลิกจ้าง ดังนั้น ลิเวอร์พูล ไม่ผิด แต่อาจไม่เหมาะสมในช่วงเวลาแบบนี้เท่านั้นเอง อีกประการหนึ่งหากมองธุรกิจในเครือ เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป หรือ FSG ล้วนแล้วแต่เป็นกีฬาที่ไม่สามารถสร้างรายได้ได้เลยในตอนนี้เพราะถูกระงับการแข่งเกือบทุกชนิด ทางบอร์ดบริหารก็อยากจะให้ทุกอย่างในเครือไปรอด เห็นหนทางที่จะพอกู้วิกฤตโดยไม่เจ็บตัวมาก บอร์ดบริหารคงคิดวิเคราะห์ดีแล้ว รัฐที่อังกฤษก็ยังมีเงินเหลือพออุ้มผู้ประกอบการณ์รายย่อยจึงเลือกทางนี้ และนี่คือเรื่องราวดราม่าทั้งหมดที่เกิดขึ้น แล้วเพื่อน ๆ เห็นด้วยกับ สโมสร ลิเวอร์พูล ในเรื่องนี้หรือไม่ ?

- เปี๊ยกบางใหญ่ -

logoline