logo-heading

ศึกสำคัญ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัด 2 กลับมาเตะกันอีกครั้ง โดยไฮไลท์ของค่ำคืนวันอังคารนี้ (10 เมษายน) ก็คงต้องจับจ้องกันไปที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งสกอร์ในเกมแรกต้องบอกว่าขาดลอยยับเยินมาก และทำให้ ลิเวอร์พูล กุมความได้เปรียบเอาไว้สุดๆ ในการตีตั๋วรถไฟไปลุยในรอบตัดเชือก

อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ปิดประตูโอกาสสำหรับ แมนฯ ซิตี้ เสียทีเดียวเชียว เพราะในอดีตกาลที่ผ่านมาเราได้เล่นการพลิกนรกมาแล้วมากมาย ยกตัวอย่างเช่นฤดูกาลก่อนถ้ายังจำกันได้ บาร์เซโลน่า ต้องดวลกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และผลปรากฏว่าเกมแรกที่ ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ บาร์ซ่า โดนอัดไป 4-0 จนใครต่อใครก็ฟันธงไปแล้วว่ายักษ์ใหญ่จากแดนน้ำหอมได้ไปต่อแน่ๆ แต่เมื่อเกมนัด 2 มาถึง บาร์เซโลน่า กลับสร้างสิ่งมหัศจรรย์จนเป็นประเด็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ คุยกันไปทั่วโลกด้วยการเอาคืนไปแบบกระจุยกระจาย 6-1 พร้อมกับหยิบตั๋วคืนมาจากมือ "เปแอสเช" และก้าวขึ้นบันไดไปสู่รอบต่อไป ดังนั้นมันหมายความว่า แมนฯ ซิตี้ โอกาสยังพอมีอยู่ หากเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากเกมคู่นี้ 1.ใช้ระบบแผนที่ไม่เหมือนใครซึ่งยากต่อการคาดเดา บาร์เซโลน่า เปลี่ยนระบบแผนจาก 4-3-3 เดิมมาใช้เป็น 3-3-1-3 เหมือนเป็นการสร้างลูกกรงล้อมรอบพื้นที่รอบๆ แดนกลางของ เปแอสเช ซึ่งทำให้คู่แข่งเกิดอาการปวดหัวหนักและเล่นเกมของตัวเองได้ลำบาก ขณะที่ บาร์ซ่า ก็จะเล่นได้ง่ายขึ้น และสามารถครองบอลและเก็บบอลได้ในพื้นที่อันตราย พร้อมกับให้โอกาส ลิโอเนล เมสซี่ เดินเกมเองอย่างอิสระ ถ้ามาในมุมมองของ แมนฯ ซิตี้ เมื่อไม่มี ลิโอเนล เมสซี่ ในตำแหน่งดังกล่าวควรเป็น กาเบรี่ยล เชซุส พร้อมกับให้อิสระกับตัวเขาวิ่งไปทั่วสนาม หรือในภาษาเกมเรียกว่า 'โรมมิ่ง' และพยายามหาพื้นที่ให้ที่ดีในตามแบบฉบับของกองหน้าที่ดี และที่สำคัญผู้เล่นคนอื่นๆ ของ แมนฯ ซิตี้จะต้องเล่นได้สมบูรณ์แบบ และต้องทำลายเกมรุกรวมไปถึงเกมโต้กลับของ ลิเวอร์พูล ให้ได้ 2.ไม่ต้องหน้ามืดเดินหน้าบุกใส่เสมอไป บาร์เซโลน่า ได้ฝืนธรรมชาติในเกมวันนั้นจากที่เป็นทีมบุกบ้าดีเดือด กลายเป็นเน้นคุมโซนรอสร้างจังหวะสร้างรูปเกมของตัวเองขึ้นมาให้เสียก่อน แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องหาจังหวะให้เร็วที่สุด และเมื่อสามารถก่อมันขึ้นมาได้ มันก็ส่งผลต่อการคุมเกมได้และโอกาสต่างๆ จากนั้นเมื่อมันเหมาะเจาะก็สามารถเข้าตีข้าศึกได้สบายใจ สถิติการครองบอลในวันนั้นของ บาร์ซ่า อยู่ที่ 71 เปอร์เซนต์ และมีโอกาสเข้าทำมากขึ้น 20 ครั้ง โดยขณะที่ เปแอสเช ยังทำได้ไม่ถึงครึ่งเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่ แมนเสเตอร์ ซิตี้ ต้องทำก็เหมือนกับ บาร์เซโลน่า ที่ต้องดัดแปลงจังหวะเกมของพวกเขา ถ้าเกิดยังหน้ามืดเร่งบุกไปใส่เพื่อจะทวงประตูคืนเพียงอย่างเดียวเกรงว่าจะเข้าทาง ลิเวอร์พูล เปล่าๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการหาจังหวะการเล่นของตัวเองให้ไวๆ ค่อยๆ กดดัน ค่อยๆ แย่งบอลมาและห้ามเสียไปง่ายๆ 3.เปลี่ยนตัวทำเกมโดยที่คู่แข่งไม่คาดคิด "เปแอสเช" สั่งจับตาย ลิโอเนล เมสซี่ เพื่อเป็นการลดศักยภาพความน่ากลัวในแนวรุกของ บาร์เซโลน่า แต่นั่นก็เหมือนเป็นการปล่อยโอกาสให้ เนย์มาร์ ได้ปล่อยของ ซึ่งในเกมนั้น เนย์มาร์ มีจังหวะดวล 1-1 หลายรอบมาก และมีโอกาสเข้าทำมากมาย แถมยังยิงประตูได้อีก และวันนั้นเขาก็เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ สิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องทำคือ การันตีว่า ราฮีม สเตอร์ลิ่ง จะได้ออกสตาร์ทพร้อมกับ เลรอย ซาเน่ เป็นปีก 2 ฝั่ง เพราะในเกมแรกในตำแหน่งปีกมีแค่ ซาเน่ ที่ได้เป็นจริง ส่วนอีกฝั่งเป็น อิลคาย กุนโดกัน และนั่นทำให้ ลิเวอร์พูล สามารถเลือกเน้นได้ว่าควรจะหันเหไปสกัดกั้นที่ใครมากกว่า ดังนั้นในเกมนัด 2 ต้องให้ชัวร์ว่า สเตอร์ลิ่ง และ ซาเน่ ต้องได้ลงพร้อมกัน และต้องเล่นได้เต็มศักยภาพของตัวเองด้วย เพื่อไม่ให้ ลิเวอร์พูล เน้นจับตายรายตัวได้ 4.สร้างบรรยากาศข่มขวัญคู่แข่ง การเล่นในบ้านถือเป็นสิ่งสำคัญเพราะเสียงเชียร์จากแฟนบอลมีผลต่อกำลังใจและฟอร์มการเล่นของนักเตะในสนามมากๆ และในทางกลับกันก็ถือเป็นเครื่องมือข่มขวัญและทำลายสมาธิของคู่แข่งได้ดีทีเดียว ซึ่งวันนั้นกลุ่มสาวกที่ตีตั๋วกันเข้ามาชมเกมสดถึง คัมป์ นู ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ดังนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ต้องหวังสิ่งเหล่านี้จากแฟนบอลในสนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม กว่า 50,000 คนด้วยเพื่อเป็นแรงสนับสนุน 5.สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ 'อย่ายอมแพ้' การจะสร้างปรากฏการณ์อะไรสักอย่างให้เกิดขึ้นสิ่งสำคัญคือคุณต้องไม่ละความพยายามและห้ามยอมแพ้ง่ายๆ บาร์เซโลน่า ไม่ยอมแพ้ต่อสกอร์ที่ขาดลอยมาเยินถึง 0-4 ในเกมแรก ตลอดจนเกมที่ 2 ตอนที่ บาร์ซ่า นำอยู่ 3-0 และมาโดน เอดินสัน คาวานี่ ซัดตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 ในนาที 62 ซึ่งนั่นหมายถึง บาร์เซโลน่า ต้องชนะด้วยสกอร์ 6-1 ถึงจะเข้ารอบ ตอนนั้นแหละต้องบอกเลยว่ามันกดดันสุดๆ เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงกับภารกิจการยิงอีก 3 ประตู อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ยอมแพ้และสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย จนในที่สุดโชคชะตาก็เข้าข้างพวกเขา โดยในระยะเวลาแค่ 7 นาทีจาก นาที 88 ไปจน 90+5 บาร์เซโลน่า โกงความตายได้สำเร็จจาก 2 ประตูของ เนย์มาร์ และ เซร์จี้ โรเบร์โต้ ซัดปิดกล่อง ดังนั้นสิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องทำคืออย่ายอมแพ้ รวมถึงไว้ใจและศรัทธาในตัว เป๊ป กวาร์ดิโอล่า  

-HaMuDosSantos-

 
logoline