logo-heading

หลังจากจัดการพลิกแซงเอาชนะ "เรือใบสีฟ้า" ได้ 1-2 เมื่อวันอังคารที่ 10 เม.ย.ทีผ่านมา ก็ทำให้ "หงส์แดง" ประกาศศักดาอัดเต็ง 2 ด้วยสกอร์รวมขาดลอย 5-1 ทะลุผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ

เหลืออีก 2 ด่านเท่านั้น พวกเขาก็จะไปถึงคำว่า "แชมป์ยุโรป" และนี่คือ 5 เหตุผลที่พอจะชวนให้คิดได้ว่าปีนี้แชมป์หูใหญ่จะตกเป็นของ ลิเวอร์พูล

  1.ชนะ เป๊ป ขาดลอย ไป-กลับ   ฤดูกาลนี้ต้องยอมรับว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมที่แข็งแกร่งสุดๆ ด้วยการมีกุนซือระดับสมองเพชรอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นผู้กุมบังเหียน แถมบวกด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่พร้อมจ่ายเพื่อซื้อนักเตะที่ต้องการ ทำให้ยากที่จะมีใครมาต่อกรกับพวกเขาได้ง่ายๆ ทว่า "หงส์แดง" ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเอาชนะ "เรือใบ" ไป-กลับ ในถ้วยยุโรป ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในเมื่อคุณเอาชนะทีมเต็งแชมป์ขาดลอยด้วยสกอร์รวม 5-1 ในเมื่อคุณตบหน้า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือผู้เคยคว้าแชมป์รายการนี้มาแล้ว 2 สมัย คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้วหละ โดยในอดีตเมื่อปี 2010, 2012, 2014 และ 2015 แชมป์คือ อินเตอร์ มิลาน, เชลซี, เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 4 ทีมสามารถเอาชนะทีมที่ เป๊ป คุมในรอบรองชนะเลิศได้ทั้งหมด (2010 กับ 2012 คุม บาร์เซโลน่า 2014 กับ 2015 คุม บาเยิร์น มิวนิค)   2.เกมรับที่ดีขึ้น ตอนต้นฤดูกาล ลิเวอร์พูล คือทีมที่เสียประตูเยอะมาก ทั้งในลีกและ  แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยในรายการนี้ รอบเพลย์ออฟเจอ ฮอฟเฟ่นไฮม์ 2 นัด โดนไป 3 ประตู 2 นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่ม เจอ เซบีย่า ยิง 2 สปาร์ตัค มอสโก ยิง 1 ทว่าจากนั้นก็เหมือนจะปรับกันได้ลงตัวมากขึ้น เริ่มเสียประตูน้อยลง โดยเฉพาะเมื่อได้ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ เข้ามาก็ยิ่งทำให้แน่นขึ้นไปอีก บวกกับ ลอริส คาริอุส ที่อยู่ๆ ก็เหนียวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังได้รับโอกาสให้เป็นนายด่านเบอร์ 1 แทน ซิมง มินโญเล่ต์ ยิ่งไปกว่านั้นหากเทียบกับ เรอัล มาดริด แชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้วพวกเขาเสียไปถึง 17 ประตู นับจากรอบแบ่งกลุ่มถึงนัดชิง ขณะที่ ลิเวอร์พูล ผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศเพิ่งเสียไปแค่ 7 ประตูเท่านั้น   3.3 ประสานเกมรุก พูดถึงเกมรับแล้ว จะไม่พูดถึงเกมรุกก็ไม่ได้ เพราะนี่คือจุดเด่นที่แท้จริงที่พา "หงส์แดง" บินสูงบินไกลมาได้ถึงขนาดนี้ เรื่องความเก่งกาจ ความเข้าใจกันของ 3 ประสาน ซาลาห์ มาเน่ ฟีร์มีโน่ คงไม่ต้องสาธยายให้มากความ เพราะซัดกันเป็นกระบุง แต่ที่น่าสนใจคือ หากเทียบกับ "ราชันชุดขาว" แชมป์เก่าปีที่แล้ว ถึงจำนวนประตู ปรากฏว่าจนถึงรอบชิง มาดริด ซัดไป 36 ลูก แต่ ลิเวอร์พูล มาถึงรอบนี้กดไปแล้ว 33 ตุง เทียบแล้วโอกาสยิงได้มากกว่าหากไปถึงนัดชิงมีสูงมาก นั้นหมายความว่า เสียประตูก็น้อยกว่า ยิงก็น่าจะได้มากกว่าแชมป์เก่า แบบนี้ไม่ฝันถึงแชมป์จะให้ฝันถึงอะไรหล่ะครับ   4.เจอร์เก้น คล็อปป์ กึ๋น แท็คติก สไตล์การเล่น และ การปลุกเร้าลูกทีมอยู่ตลอดเวลาคือจุดเด่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเห็นได้ว่าเกมเลกสองกับ แมนฯ ซิตี้ ครึ่งแรกเขาสั่งให้ลูกทีมเน้นรับมากเกินไป ไม่เป็นตัวของตัวเอง แม้สกอร์จะยังนำห่าง แต่พอพักครึ่ง คล็อปป์ ตัดสินใจให้ลูกทีมเล่นแบบเดิม เปิดเกมรุก และก็ทำได้ดี อีกอย่างคือ ลิเวอร์พูล รวมถึง "เดอะ นอร์มอล วัน" มักจะทำได้ดีเวลาเจอกับทีมใหญ่ นอกจากนี้ประสบการณ์ในถ้วยนี้ กุนซือชาวเยอรมันเองก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร แม้จะไม่เคยชูถ้วยหูใหญ่ แต่ก็เคยพา ดอร์ทมุนด์ ไปได้ไกลถึงรอบชิงมาแล้ว     5.บาร์เซโลน่า ตกรอบ จริงอยู่ที่ ลิเวอร์พูล มักจะเล่นดีเวลาเจอกับทีมใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้เสมอไป ฉะนั้นถือเป็นเรื่องดีมากๆ ที่ อาแอส โรม่า พลิกนรกกลับมาถีบ บาร์เซโลน่า ร่วงตกรอบ 8 ทีมไปได้ซะก่อน นั่นหมายความว่างานของ "หงส์แดง" ก็น่าจะง่ายลง เพราะเต็ง 1 กับ เต็ง 2 (บาร์ซ่า กับ แมนฯ ซิตี้) หลังผลจับสลากรอบ 8 ทีมสุดท้ายออกมานั้น กระเด็นตกรอบไปหมดแล้ว  

ไม่แน่คืนนี้ (11 เม.ย.) อาจมีปาฏิหารย์เกิดขึ้นอีก บาเยิร์น มิวนิค หรือ เรอัล มาดริด อาจพลิกกระเด็นตกรอบคาบ้านอีกก็เป็นได้ ลูกบอลลูกกลมๆ มีลมข้างใน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ เช่นเดียวกับแชมป์สมัยที่ 6 ของ ลิเวอร์พูล ก็ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าจะมาในปีนี้รึป่าว ต้องรอดูกันต่อไป แต่นี่ก็เป็น 5 เหตุผลที่อาจทำให้มันเป็นจริงได้

ชิน ชินพัฒน์

logoline