logo-heading

ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ พรีเมียร์ลีก กำลังเดินทางมาถึงครึ่งทางของการแข่งขันในซีซั่นที่สูสีที่สุดในรอบหลายปี แต่ เชลซี ที่เปรียบเสมือนเป็นตัวเต็งที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าผลงานน่าจะเริ่ดหรูแน่นอน ดูได้จากขุนพลที่ยัดกันเข้ามาด้วยราคามหาศาล แต่ความจริงวันนี้คือ เชลซี ผลงานไม่คงเส้นคงวาเหมือนม้าที่ขาเป็นแผลวิ่งได้ แต่ไม่มั่นคง ตกลงมันมีประเด็นอะไรกันแน่ที่ทำให้ เชลซี เป็นแบบนี้ มาติดตามจากทาง ขอบสนาม ได้เลย

นักเตะใหม่ยังไม่ปัง

หลายคนทราบดีว่า เชลซี คือสโมสรที่ใช้เงินเสริมทัพไปมากกว่า 200 ล้านปอนด์เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เล่นกระชากเหล่าแข้งดังๆ มาร่วมทีมได้มากมายไม่ว่าจะเป็น ฮาคิม ซิเย็ค, ติโม แวร์เนอร์, เบน ชิลเวลล์, ติอาโก้ ซิลวา และ เอดูอาร์ เมนดี้ เป็นต้น แต่จนถึงตอนนี้หลังจากฤดูกาล 2020-21 เปิดฉากมาได้ราวๆ 3 เดือนกว่าๆ เรายังไม่เห็นศักยภาพที่เต็มที่ของพวกเขาเลย ตัวที่เด่นๆ และผลงานเข้าตาก็จะมีหลักๆ คือ เอดูอาร์ เมนดี้ และ เบน ชิลเวลล์ ส่วนพวกแข้งตำแหน่งแนวรุกขอบอกเลยว่าน่าผิดหวังสุดๆ ดูอย่าง ฮาคิม ซิเย็ค ยามลงสนามเราเห็นแล้วว่าพี่แกโชว์ฟอร์มได้ดีจริง เล่นเข้ากับแท็คติกของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ติดอยู่อย่างเดียวก็ตรงปัญหาอาการบาดเจ็บนี่แหละ ถัดมาที่ ติโม แวร์เนอร์ ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องก็จริง มีความเร็วเป็นอาวุธ แต่เรื่องของการผลิตสกอร์กับหวังผลไม่ได้ ยิงประตูไม่ได้มาหลายเกมติดแล้ว ทั้งที่มีโอกาสเยอะกว่าชาวบ้านเขา ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา แต่ที่หนักสุดเลยก็คือ ไค ฮาแวร์ตซ์ นี่คือนักเตะที่ซื้อมาแพงที่สุดในตลาดรอบที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ได้ถือยังปรับตัวไม่ได้ ร่างกายไม่ฟิต และยังไม่ทันเกมฟุตบอลอังกฤษ

ขาดความมั่นใจ

กลไกหนึ่งที่จะทำให้คุณโชว์ฟอร์มได้ดีมันก็ต้องมีเรื่องของความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม แต่จากสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันสัมผัสได้เลยว่านักเตะของ เชลซี หลายๆ กำลังขาดสิ่งนี้่อยู่ โดยหลักๆ สังเกตได้เลยในเรื่องของความไม่คงเส้นคงวา เล่นแบบกล้าๆ กลัวๆ บทจะเล่นก็ไปไม่สุดทาง และเมื่อต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก อาทิเช่น ความพ่ายแพ้หรือสะดุดทำแต้มหล่นก้เป๋ยาวเลย ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนจากตอนแรกที่มีโอกาสทำแต้มขึ้นไปลุ้นครองจ่าฝูง แต่ไปๆ มาๆ เชลซี กลับเก็บได้เพียงแค่ 4 คะนนจาก 5 เกมหลังสุดทั้งที่มี 15 แต้มให้เก็บ ตอนนี้ลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มี 26 คะแนนจากการลงเตะ 16 นัด ตามหลังจ่าฝูง ลิเวอร์พูล 7 คะแนน จริงอยู่ที่ระยะห่างช่องว่างระหว่างคะแนนมันไม่ได้เยอะ แต่ถ้าเกิด เชลซี ยังเรียกความั่นใจกลับมาไม่ได้ และยังสะดุดรูดยาวแบบนี้บ่อยๆ แน่นอนนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ 

พร้อมแจกแต้มให้ทุกทีม

จริงอยู่ที่ เชลซี คือหนึ่งในสโมสรยักษ์ของ พรีเมียร์ลีก มีโอกาสได้ลุ้นทั้งแชมป์ พรีเมียร์ลีก และโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทว่าการลงเตะในแต่ละแมตช์พวกเขากลับไม่ใช่ทีมที่ถูกมองว่าเป็นทีมที่เหนือกว่าแบบหมดจด 100 เปอร์เซนต์ ปัญหาในข้อนี้มันก็เกี่ยวข้องกับข้อด้านบนนั่นก็คือเรื่องของการขาดความนิ่งและขาดความมั่นใจ ดูอย่างเกมที่เจอ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน พวกเขากลับปล่อยให้ทีมที่เป็นรองกว่าเยอะขึ้นนำก่อนถึง 3-0 ถึงแม้สุดท้ายจะกลับมาตีเสมอได้ แต่จริงๆ การเจอกับทีมแบบนี้มันก็ควรได้ 3 แต้มรึเปล่า ? ถ้าจะบอกว่าโชคชะตาเล่นตลกกับ เชลซี ก็ดูฟังขึ้นได้อยู่เหมือนกัน เพราะมันก็มีหลายๆ เกมที่พวกเขาเป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน แต่สุดท้ายแล้วไม่สามารถรักษาผลการแข่งขันและเก็บผลที่ต้องการได้ อย่างเกมเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน ก็นำมาดีๆ สุดท้ายโดนตีเสมอ 3-3 ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เช่นเดียวกับเกมเจอ วูล์ฟแฮมป์ตัน ก็นำก่อน 1-0 แต่สุดท้ายโดนแซงช่วงทดเจ็บแล้วก็แพ้ไป ตลอดจนเกมล่าสุดกับ แอสตัน วิลล่า มันถือเป็นเกมที่พวกเขาเล่นได้ค่อนข้างดี แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่แชร์แต้มกันไป จะบอกว่าโทษดวงก็พอได้อยู่ แต่หลักๆ มันก็เป็นเพราะการเสียสมาธิและขาดความมั่นใจมากกว่า หลายๆ เกม พวกเขาผลงานได้เล่น แสดงศักยภาพเกมรุกได้น่ากลัวมีความจัดจ้าน แต่บางทีก็ดันทะลึ่งไร้ความเด็ดขาดซะงั้น ส่วนของเกมรับที่เคยเป็นจุดเด่นของพวกมาตลอดช่วง 10 กว่าปีก็ดันกลายเป็นจุดที่แฟนๆ พะวงมากที่สุดในทุกๆ เกม

สถิติการเจอกับทีมใหญ่

เมื่อ เชลซี ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสโมสรยักษ์ใหญ่บนสังเวียน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หนึ่งในเควสต์หลักที่พวกเขาต้องทำในทุกๆ ปีก็คือการตัดแต้มเหล่าทีมบิ๊กเนมด้วยกัน นั่นก็เพื่อการลุ้นบรรลุมิชชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก รวมถึงการลุ้นพื้นที่ชิวตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ เชลซี ในยุคของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กลับมีสถิติที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ยามเจอกับเหล่าทีม Top 6 ด้วยกันโดยเฉพาะในฤดูกาลนี้หลังจากผ่านไป 16 นัด เชลซี มีคิวเจอทีมใหญ่ 4 นัดแต่ผลปรากฏว่าเก็บชัยชนะเหนือใครไม่ได้เลย ไล่ตั้งแต่ แพ้ ลิเวอร์พูล คาบ้าน 0-2, ไปเยือนเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-0, เปิดบ้านเสมอกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 0-0 และล่าสุดคือการบุกไปโดน อาร์เซน่อล ที่ทรงบอลกับฟอร์มกำลังแย่ทุบอีก 3-1

แฟร้งค์ แลมพาร์ด

เมื่อผลการแข่งขันมันออกมาในทิศทางที่เลวร้ายแน่นอนว่าคนที่ต้องรับผิดชอบและถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็คือกุนซือนั่นก็คือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด การเข้ามาของเขาได้เปลี่ยนวิถีและสไตล์การเล่นของทีมใหม่หมด จากที่เราคุ้นชินกันในเรื่องของเกมรับที่แข็งแกร่งก็กลายเป็นบอลในรูปแบบ ออฟเฟนซีฟ แบบเต็มตัว อารมณ์ประมาณเดินหน้าฆ่ามันให้ถึงที่สุดซึ่งจุดๆ นี้ต้องยอมรับว่า แลมพาร์ด ปูแนวทางออกมาได้ดีจริงๆ แต่ในทางกลับกันมันก็ยังขาดการแก้เกม หรือการสร้างมิติใหม่ๆ การใช้แต่มุขเดิมๆ เล่นแบบเดิมๆ ในทุกๆ เกม ปัญหามันเกิดก็ต้องเมื่อเจอทีมอื่นจับจุดและแก้ทางได้ นั่นจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกเขาทำแต้มหล่นเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะกำลังโดนวิพากษ์วิจารณ์กับความผิดพลาดต่างๆ นาๆ ที่เราพูดมาทั้งหมด แต่คุณอย่าลืมนะว่า เชลซี กำลังอยู่ในยุคของการสร้างทีมขึ้นมาใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างยังต้องผ่านการลองผิดลองถูก เรียนรู้ความผิดพลาดและบทเรียนต่างๆ เพื่อนำไปแก้ไข ดังนั้นถ้าจะถามหาถึงสาเหตุและปัญหาของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มันก็คงเป็นเพราะเรื่องของประสบการณ์และเวลา

HaMu Dos Santos

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทางไลน์ขอบสนาม
logoline