logo-heading

ช่วงมรสุมสำหรับ ลิเวอร์พูล หรือจะว่าปีชง มกราคมอาถรรพ์ ก็ดูไม่ได้ผิดนัก หลังจากยำใหญ่ คริสตัล พาเลซ ไปถึง 7-0 ลิเวอร์พูล ก็ฟอร์มตกฮวบ เข้าสู่ศักราชใหม่มาเอาชนะได้เพียงแค่ แอสตัน วิลล่า ในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 3 เท่านั้น

ขณะที่ในเกมลีก ยังไม่ชนะทีมใดเลย ไล่ตั้งแต่ เสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในแอนฟิลด์ 1-1, ออกไปเสมอ นิวคาสเซิ่ล 0-0, ออกไปแพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-1 และต่อด้วยเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในแอนฟิลด์ 0-0 ก่อนที่จะถูก เบิร์นลี่ย์ หยุดสถิติไม่แพ้ใน แอนฟิลด์ หลังจากทางด้าน ลูกทีมของ ฌอน ไดซ์ บุกมาเอาชนะได้ 1-0 จากผลงานดังกล่าว เป็นเหมือนบททดสอบและพายุลูกใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ในช่วงนี้ จากจ่าฝูงตารางคะแนน ตกร่วงลงไปยังที่ 5 ตาราง และมีสิทธิ์ล่วงลงไปอีก หากไม่สามารถสะกดคำว่าชนะเป็นให้ได้เร็วที่สุด โมเมนตั้มตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ขาดความมั่นใจ ทั้งเกมรับและรุก ด้วยผลงานที่ดิ่งลงเรื่อย ๆ ศรัทธาของแฟนบอลบางรายอาจจะเริ่มหดหายจนกลายเป็นตั้งคำถามว่า คล็อปป์ ยังเป็นคนที่ใช่ของ ลิเวอร์พูล อยู่หรือไม่ ? หลายความเห็นมองว่านี่เป็นสถาการณ์เดียวกันกับช่วงท้ายที่เขาคุมทีม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ บางรายก็ต้องการ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เข้ามาคุมทีมแทน ซึ่งทางด้าน เจอร์ราร์ด เอง กำลังทำผลงานได้ดีกับ เรนเจอร์ส อาจถึงเวลาที่เขาจะกลับมาช่วยปลุกทีมเสียที อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงความคิดเห็นบางส่วนของแฟนบอลบางรายเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วยังคงให้การสนับสนุน เจอร์เก้น คล็อปป์ และเข้าใจถึงสถานการณ์ในช่วงเวลานี้เป็นอย่างดีว่าทีมกำลังขาดอะไร อะไรกันแน่ที่ทำให้ผลงานทีมตกลงไป ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ตกลงไปในช่วงนี้ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของ คล็อปป์ คนเดียว แต่เป็นความกระหายชัยชนะของนักเตะทั้งทีม ความกดดันจนกลายเป็นความเครียดของนักเตะเองที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คล็อปป์ ยังเป็นคนที่ใช่ สำหรับ ลิเวอร์พูล นอกจากนี้หากมองไปถึงทรัพยากรที่มี ก็ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล เองก็โชคร้ายที่ต้องประสบกับปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บ และเป็นหัวใจสำคัญของแนวรับ ปัญหาใหญ่ของ ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ต้นฤดูกาล ที่ต้องเสียนักเตะหลายรายไปเพราะอาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะนักเตะในแนวรับคนสำคัญอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ การขาดหายไปของ ฟาน ไดค์ ทำให้เกมรับของ ลิเวอร์พูล ประสิทธิภาพลดลงอย่างชัดเจน เสียประตูบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา การเสีย ฟาน ไดค์ ไปยังเสียหายไม่พอ ลิเวอร์พูล ต้องมาเสีย โจ โกเมซ ไปอีกคน ส่งให้ตัวเลือกในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กมีทรัพยากรให้เลือกอย่างจำกัด เซ็นเตอร์ระดับซีเนียร์เหลือเพียงแค่ โจเอล มาติป และที่เหลือเป็นดาวรุ่งชั่วโมงบินต่ำ จนต้องจับเอา ฟาบินโญ่ มาเล่นเซ็นเตอร์แบ็กจำเป็น คู่กับ มาติป อย่างไรก็ตามประศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก มาติป เองช่างเปราะบาง ไม่สามารถช่วยทีมได้อย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุด เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ต้องใช้งานบรรดาดาวรุ่ง อย่าง รีส วิลเลี่ยมส์ รวมถึง นาธาเนี่ยล ฟิลลิปส์ ที่เคยถูกส่งไปเล่นแบบยืมตัวยัง สตุ๊ตการ์ท แต่เมื่อพวกเขาได้ลงสนามก็ยังทำผลงานได้ไม่เข้าตานัก จากปัญหาดังกล่าว คล็อปป์ ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากับทรัพยากรที่มี ด้วยการส่ง ฟาบินโญ่ไปยืนเซ็นเตอร์แบ็กจำเป็น ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แต่มันไม่สามารถยืนระยะยาวได้เท่านั้นเอง การที่ต้องถอย ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ตัวรับไปเล่นเซ็นเตอร์ทำให้เกิดหลุมดำช่วงแดนกลาง ขาดคนช่วยสกรีนก่อนแนวรับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม 2 แดนกลางตัวหลักต้องทำงานอย่างหนักช่วยเกมรับ ซึ่ง เฮนเดอร์สัน เองมีงานชุกเพราะต้องเบี่ยงตัวเองไปช่วยซัพพอร์ตเกมรับเมื่อ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หลุดตำแหน่ง ส่วน ไวจ์นัลดุม เอง ก็ต้องลงมาช่วยล้วงพอจะทำเกมบุกสวนกลับเร็วก็ไม่สามารถทำได้เพราะช่องตรงกลางมันมากเกินไป และเมื่อโดนเกมสวน แดนกลางแดนกลางจึงกลายเป็นช่องโหว่ คู่แข่งสวนทีมักถึงหลังตลอด ขณะที่การหายเจ็บกลับมาของ ติอาโก้ อัลคันทาร่า ช่วยทำให้แดนกลาง ลิเวอร์พูล ดีขึ้นมา ความเวิลด์คลาสของเขาทำให้แดนกลางเก็บบอลได้มากขึ้น แต่ทว่าเจ้าตัวเอง ก็ยังคงต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับจังหวะและความเร็วในเกมพรีเมียร์ลีกอยู่อีกสักหน่อย เพราะอาจจะยังช้าไปหนึ่งจังหวะ แต่ความเวิลด์คลาสของเขาคงจะใช้เวลาอีกไม่นาน คล็อปป์ ยังเป็นคนที่ใช่ สำหรับ ลิเวอร์พูล เมื่อแดนกลางมีลักษณะเป็นหลุม แถมยังขาดคนทะลุทะลวง เนื่องจากไม่ได้ขึ้นเกมโดยใช้เพลย์เมกเกอร์ การขึ้นเกมก็ตกไปอยู่กับเกมริมเส้น ซึ่ง ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีอาวุธอันตรายในการขึ้นเกมริมเส้นของ แบ็กทั้ง 2 ข้าง ทั้งทักษะความแข็งแกร่งในการเดินหน้าบุกปะทะคู่แข่งและการเปิดบอลแบบแม่นยำ แต่ทว่าในฤดูกาลนี้ ประสิทธิภาพริมเส้นลดลงไปโดยเฉพาะฝั่งขวาอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ นับตั้งแต่เขาหายเจ็บกลับมายังคงออกทะเลไม่กลับฝั่ง กลายเป็นบ่อสำคัญในหลายเกมที่โดนพาทัวร์ เกมรุกก็เปิดบอลไม่แม่นเหมือนเคย เสียบอลง่ายและบ่อยครั้งทำให้โอกาสในเกมรุกของ ลิเวอร์พูล ต้องสะดุด เกมรับก็ทำได้ไม่ดีหลุดตำแหน่งบ่อย จากอาวุธอันตราย กลายเป็นขนมสำหรับแนวรับคู่แข่งไปในช่วงนี้ พิจารณาจากปัญหาดังกล่าว ต้องยอมรับว่า คล็อปป์ เองสามารถแก้ไขปัญหากับการใช้ทรัพยากรได้ดี แต่ทว่ามันไม่สามารถยืนระยาวไปได้ตลอดลอดฝั่งเท่านั้นเอง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของ คล็อปป์ และการวางแผนที่มักมองข้ามช็อตระยะยาว สามารถทำให้ ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในระดับท็อปของตารางคะแนน และยังมีลุ้นแชมป์ แม้ว่าจะยากขึ้นมากกว่าเดิมสักหน่อย แต่คะแนนที่ทิ้งหากไม่มากก็ยังมีหวังได้ตลอดเวลา ซึ่งในส่วนนี้ต้องชื่นชมอย่างมาก เพราะหากเป็นกุนซือคนอื่นแล้ว อาจจะไม่สามารถทำได้ดีขนาดนี้ แล้วทำไมมีปัญหาแนวรับแต่ไม่เสริมล่ะ ? คำถามนี้คงผุดขึ้นมา ทว่าจากบทสัมภาษณ์ของ คล็อปป์ ที่กล่าวว่า "มันไม่ใช่การตัดสินใจของผม ถ้าหากจะทำอะไรบางสิ่งบางอย่างในตลาดซื้อขายได้หรือไม่นั้น ผมไม่ได้เป็นคนจัดการ และตัดสินใจเรื่องนี้" คล็อปป์ กล่าว จากบทสัมภาษณ์ คล็อปป์ ชัดเจนว่าเขาอยากได้นักเตะเช่นเดียวกัน แต่ทว่าด้วยพิษการแพร่ระบาดของไวรัส ที่ทั่วโลกต้องเจอ ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของสโมสร ทำให้ผู้บริหาร ลิเวอร์พูล ต้องรัดเข็มขัด และต้องวางแผนการเงินเพื่อให้สามารถรั้งนักเตะตัวหลักต่อไปได้ในอนาคต อีกอย่าง ลิเวอร์พูล เองก็เสริมตัวที่อยากได้ตอนต้นฤดูกาลมาแล้ว แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเริ่มเปิดฤดูกาลมานักเตะตัวหลักดันบาดเจ็บหนักหลายคน การวางแผนและการทำทีมในทุกส่วนแล้ว ต้องชื่นชม คล็อปป์ ทำได้ดีแล้วทำให้ ลิเวอร์พูล ก้าวอยู่ระดับท็อปได้แม้จะพิการ การบริหารใช้ทรัพยากรที่มีจัดว่าทำได้ค่อนข้างดี แต่หากไม่อวยจนเกินไปก็ต้องยอมรับว่า มันไม่ดีพอที่จะทำให้ยืนระยะยาวได้ หลังจากนี้ ลิเวอร์พูล ต้องสู้กันต่อกับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน ขณะการทำงานของ คล็อปป์ ในช่วงนี้ถูกเปรียบเทียบกับการทำ ดอร์ทมุนด์ ในช่วงปลายของเขา ก็ยังคงเป็นที่ถูกพูดถึง ทว่าเมื่อพิจารณาแล้วต ต้องบอกว่าสถานการณ์ค่อนข้างแตกต่างกัน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในตอนนั้น มีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บรวมถึงขายผู้เล่นตัวหลักออก ส่วนฟอร์มคือหนีตกชั้น แต่ ลิเวอร์พูล ไม่ใช่ ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ ฟอร์มการเล่นและระบบคือเหนือกว่าคู่แข่ง ขาดแต่เพียงตอนนี้นักเตะขาดความมั่นใจไป การลุ้นแชมป์ยากขึ้นมากว่าเดิมนิดหนึ่งเท่านั้น มองว่าไปคล้าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมามากกว่า คล็อปป์ ยังเป็นคนที่ใช่ สำหรับ ลิเวอร์พูล อย่างไรก็ตามก็คงไม่สามารถห้ามความคิดของแฟนบอลบางส่วนที่มองว่าอาจถึงเวลาของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด แล้วหรือไม่ ? แต่นั่นอาจเป็นเพียงความคิดและความฝัน เพราะโลกแห่งความจริงในกรทำทีมฟุตบอลช่างโหดร้ายกว่าที่คิด เจอร์ราร์ด เองอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับการรับมือความกดดันคุมทีม ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ ตัวอย่างมีให้เห็นใกล้ตัวที่สุดคงเป็น แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่เพิ่งถูกปลดจากตำแหน่งกุนซือเชลซีไป ดังนั้นแฟนบอลอย่าเพิ่งรีบทำร้ายตำนานของคุณโดยไม่จำเป็นเลยดีกว่า ปล่อยให้ เจอร์ราร์ด ได้สนุกกับการพา เรนเจอร์ส โค่น เซลติก สั่งสมชั่วโมงบินต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลาของเขา ช่วงนี้คงเป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล เจอมรสุม พายุกระหน่ำอย่างหนักหน่วง เหล่า เดอะ ค็อป คงต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด คือการให้กำลังใจทั้งผู้จัดการทีมและนักเตะต่อ นักเตะเริ่มหายเจ็บกลับมา หลังจากนี้หานัดที่ปลดล็อกได้ เชื่อว่า ลิเวอร์พูล คงจะฟื้นมีความมั่นใจขึ้นมาได้เยอะทีเดียว เพราะด้วยระบบการเล่น และการบริหารทำทีมของ คล็อปป์ มันอาจดีไม่พอในช่วงนี้ แต่ปัจจัยหลาย ๆ อย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับ คล็อปป์ คนเดียวในเวลานี้ ยังคงมั่นใจว่า คล็อปป์ นี่แหละคือคนที่ใช่สำหรับ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ ไม่มีใครเหมาะสมเท่าเขากับการแก้ปัญหาการบริหารทรัพยากรที่มีเพียงหยิบมือได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ในเวลานี้ทุกฝ่ายต้องการกำลังใจ ต้องการช่วงเวลาปลดล็อก ทั้งนักเตะและแฟนบอลทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หลังจากพายุผ่านไปท้องฟ้าจะกลับมาสดใสอีกครั้ง สู้กันต่อไป ลิเวอร์พูล You’ll never walk alone.

- เปี๊ยกบางใหญ่ -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมผ่านทางไลน์
logoline