ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ จากแฟนบอล ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งเคยเห็นทีมรักคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เวลาผ่านไปยังไม่ถึง 1 ขวบปี พวกเขาต้องถูกจารึกไว้ว่า เกิดใน ค.ศ. ที่ หงส์แดง แพ้คาบ้าน 6 นัดติดต่อกันในเกมลีก นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร 129 ปี
เมื่อล่าสุด หงส์แดง ยังปีกหักไม่เลิก พ่ายคาบ้านให้กับ ฟูแล่ม 0-1 แบบที่ต้องก้มหน้ายอมรับโชคชะตา ความมั่นใจคือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล กำลังขาดหายไปมากจริงๆ แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง ที่ซ่อนมากับฟอร์มการเล่นอันเละเทะ คุณจะคิดเห็นเหมือนกันไหม ไปติดตามกันครับ
1. ไม่มีใครมาตั้งรับใส่ ลิเวอร์พูล อีกแล้ว
ยังจำประโยคนี้กันได้ไหมครับ "ทีมไหนมาบุกใส่ ลิเวอร์พูล เหมือนคุณกำลังฆ่าตัวตาย" ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆครับ ขนาด เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังนำขุนพล เรือใบสีฟ้า บุกมาถิ่นแอนฟิลด์ แบบเจียมตัว เพราะกลัวจะแพ้กลับไปแบบหลายครั้งก่อน แต่ต้องขีดเส้นใต้ชัดๆว่า มันคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อราวๆ 1-2 ซีซั่นก่อน
แต่ปัจจุบันนี้ ไม่เป็นแบบนั้นแล้วครับ ทุกทีมกล้าเล่นงาน กล้าบุกใส่ ลิเวอร์พูล แบบไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีแชมป์เก่าเลยสักนิด อย่าง 45 นาทีแรก ฟูแล่ม ปูพรมบุกใส่ หงส์แดง ด้วยซ้ำ และ มีโอกาสจะขึ้นนำตั้งหลายทีแล้ว แค่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเท่านั้นเอง
ที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะเกมนี้ คู่เซ็นเตอร์แบ็กเป็นแค่ดาวรุ่ง กับ คนที่ไม่ใช่ตัวหลัก อย่าง รีส วิลเลี่ยมส์ กับ แนท ฟิลลิปป์ ซึ่งปรกติจะพี่ใหญ่อย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แต่ก็มาเดี้ยงยาว ฉะนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่ ฟูแล่ม จะต้องไปหยอง ! การบุกเข้าใส่ และ เล่นงานจุดอ่อนของ ลิเวอร์พูล ตรงนั้นน่าจะดีที่สุด และ เชื่อว่าต่อจากนี้ก็คงไม่มีใครเกรงกลัว หงส์แดง อีกแล้ว ด้วยบาดแผลที่เต็มตัว มีแต่จะบอบช้ำมากขึ้นไปเท่านั้น
2. ไม่มีตัวสร้างสรรค์เกม
ไม่รู้ว่าสาวก เดอะ ค็อป รู้สึกคิดถึง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กันบ้างหรือเปล่า เพราะนัดที่แพ้ ฟูแล่ม 0-1 เป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนเลยว่า ลิเวอร์พูล กำลังวิกฤตอย่างหนักในเรื่องเกมรุก ซึ่งบรรดากูรูและความคิดเห็นจากแฟนบอลฟันธงว่า "หงส์แดง ขาดตัวสร้างสรรค์พวกเพลย์เมกเกอร์" ซึ่งกาลครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมี คูตี้ อยู่ตรงนั้น
หลายคนอาจจะบอกว่า ก็ไม่เห็นต้องมี คูตี้ หรือ เพลย์เมกเกอร์ คอยบัญชาเกมแดนกลาง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ทั้งคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่หมากเดิมๆ รูปแบบเก่าๆที่ หงส์แดง เคยใช้เล่นงานคู่แข่ง ไม่อาจได้ผลอีกแล้ว เพราะยิ่งคุณเก่งแค่ไหน คนยิ่งพยายามเอาชนะคุณมากขึ้น
อย่างวันนี้ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจดรอปทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เป็นสำรอง และ ส่ง ดิโอโก้ โชต้า กับ เซอร์ดาน ชากิรี่ ลงมาเล่นเป็น 3 ประสานร่วมกับ โม ซาลาห์ แต่กลายเป็นว่าพวกกองหน้า ต้องลงมาล้วงบอลเอง พาไปเอง และ จ่ายให้กันเอง
กองกลาง ลิเวอร์พูล ที่มีอยู่ไม่ใช่ไม่ดี แต่เกมกับ ฟูแล่ม ก็เหมือนเดิมๆ ที่มิดฟิลด์เน้นพละกำลัง ต่อบอลเชื่อมบอล แต่ไม่มีทีเด็ดในเรื่องการจ่ายทะลุช่อง ต้องเป็นพวก ชากิรี่ ที่ต้องถอยมาต่ำ เพื่อหวังแทงทะลุช่องให้เพื่อน ทว่าเมื่อถอยลงมา ออปชั่นข้างหน้าก็มีน้อย และ แทบจะโดน ฟูแล่ม เก็บกินไว้ได้หมด
3. ความผิดพลาด นำมาซึ่งการเสียประตู
ภาพจำยังชัดเจนครับ กับการพ่ายแพ้ของทัพ หงส์แดง ในช่วงหลังๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วความปราชัยที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากความผิดพลาดที่ ลิเวอร์พูล ก่อขึ้นมาเองทั้งนั้น .. อลิสซอน เบ็คเกอร์ แจกของขวัญ 2 ลูก ในเกมที่แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-4 / โอซาน คาบัค วิ่งไปชนกับ อลิสซอน จนทีมเสียประตูแพ้ต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-3 หรือ ไหนจะส่งบอลกันผิดพลาด จนโดน เอฟเวอร์ตัน ตัดไปยิง และ แพ้ไปอีก 0-2
"ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก" สุภาษิตนี้ไม่ได้รุนแรงเกินไปเลยครับ หากจะมอบให้กับ ลิเวอร์พูล อีกครั้ง เพราะในเกมที่แพ้คาบ้านให้กับ ฟูแล่ม 0-1 ก็มีช็อตที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่ทันระวังตัว ในจังหวะที่กำลังจับบอลหันหลังให้กับคู่ต่อสู้ ก็ถูกทาง มาริโอ เลอมิน่า แนวรุก ฟูแล่ม วิ่งมาฉกบอล แล้วซัดเสียบมุมเสาเข้าไปอย่างเฉียบคม
นอกจาก ซาลาห์ จะมีมีมภาพ "ประตูไม่ทำ เต้นรำอย่างเดียว" ที่โดนแซวไปว่อนเฟซบุ๊คแล้วนั้น เขายังมีภาพที่หลับตาแหงนหน้าขึ้นฟ้า ให้เห็นเป็นเหมือนท่าประจำตัว เพื่อบ่งบอกให้เห็นว่าเขาผิดหวังมากแค่ไหน
4. เข้าทำมุขเดิมๆ
แอบเซอร์ไพรส์เหมือนกัน ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจดรอป เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นตัวสำรอง และ ส่ง เนโก้ วิลเลี่ยมส์ ลงสนามมาแทน แต่กระนั้นพอส่ง "ไอ้หนูคนเหล็ก" ลงมาเป็นตัวสำรองนาที 76 ก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น
เมื่อกองกลางไม่มีตัวสร้างสรรค์เกม, ไม่มีใครที่จะคอยแอสซิสต์งามๆแบบจ่ายทะลุช่อง ทำให้ภาระต้องตกมาอยู่กับฟูลแบ็ก ซึ่งเคยเป็นอาวุธเด็ด หงส์แดง ในช่วง 2 ซีซั่นหลัง อย่างฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ เทรนท์ ทำแอสซิสต์ 13 ครั้ง ขณะที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 12 ครั้ง นั่นหมายความว่าทั้ง 2 คน ช่วยให้เพื่อนร่วมทีมผลิตสกอร์ ถึง 25 ตุง
แต่กระนั้นซีซั่นนี้ พวกเขาโดนจับทางหมดแล้ว เทรนท์ ลงสนามมา ก็ตะบี้ตะบันเปิดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ซึ่งไม่ได้สร้างอันตรายใดๆเลยสักนิด อารมณ์เหมือนครอสไปติดกำแพง และ ลูกบอลกระเด้งออกมา นับเป็นมุขไอเดียเดิมๆ ที่คู่แข่งมองตาก็จับไต๋ได้แล้ว และ นั่นเป็นสาเหตุที่ เทรนท์ ลงมา ก็ไมได้สร้างความแตกต่างเลยสักนิด
จากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล กำลังถูกจับทางได้มากขึ้นเรื่อยๆ คู่แข่งที่เคยแพ้พวกเขา ก็พัฒนาขึ้นทุกวันๆ ไม่มีใครหยุดอยู่กับที่ ฉะนั้นถ้าหาก หงส์แดง จะกลับมาผงาดฟ้าอีกครั้ง ต้องหลุดพ้นอะไรเดิมๆออกไปให้ได้
ฮาย ฮาวดี้-