"ขาดเธอเหมือนขาดใจ" วลีนี้ไม่เกินจริงสำหรับชายที่ชื่อ มาร์ติน โอเดการ์ด เพราะตั้งแต่ที่เขาถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปจากเกมทีมชาติ อาร์เซน่อล ได้แปรเปลี่ยนจากทีมที่มีเกมรุกดุดันแข็งแกร่ง ให้เป็นทีมที่ตีนบอดไร้พิษสง
ในช่วงแรกเหมือนว่า มิเกล อาร์เตต้า จะแก้ปัญหาการขาดหายไปของ มาร์ติน โอเดการ์ด ได้ด้วยการปรับหมากมาเล่นในระบบ 4-4-2 โดยใช้ ฮาแวร์ตซ์ ยืนหน้าคู่กับ ทรอสซาร์ ปรากฏว่าทำได้ดีเกินคาดคว้าชัยได้ถึง 5 เกมจาก 7 นัดรวมทุกรายการ สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น แถมยังกระหน่ำไปถึง 17 ประตู
หากมองดูผิวเผินเหมือน อาร์เซน่อล จะไม่ได้มีปัญหาเรื่องเกมรุกแต่อย่างใด แต่ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว ประตูส่วนใหญ่ที่พวกเขาทำได้มาจากลูกตั้งเตะ หรือไม่ก็จังหวะฉาบฉวยเสียส่วนใหญ่
พอนานวันเข้าแผลของ อาร์เซน่อล เริ่มเปิดมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกตั้งเตะจากที่เป็นทีเด็ดเริ่มใช้การไม่ได้ เกมรุกเริ่มไร้ไอเดีย ขาดตัวสร้างสรรค์เกม หายนะคืบคลานเข้ามา
ซึ่งแผลดังกล่าวมันเปิดกว้างอย่างชัดเจนในเกมที่บุกไปเยือน บอร์นมัธ โดยตลอดทั้งเกม อาร์เซน่อล มีโอกาสง้างประตูเพียงแค่ 6 ครั้งเท่านั้น และจบลงด้วยความปราชัยด้วยสกอร์ 2-0
และที่หนักยิ่งไปกว่านั้นคือการพ่ายแพ้ในเกมเยือน 2 เกมติดต่อกันรวมทุกรายการ แถมยังยิงไม่ได้แม้เลยแต่ประตูเดียว ซึ่งมันเป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเกมรุกของพวกเขากำลังอยู่ในช่วงวิกฤตอย่างหนัก
การขาดหายไปของ มาร์ติน โอเดการ์ด มันส่งผลกระทบมากมายเหลือเกิน รูปเกมไม่ไหลรื่น การเข้าทำไร้ไอเดีย ไม่ต่างอะไรกับทีมกลางตาราง ต้องยอมรับตามตรง ณ เวลานั้น อาร์เซน่อล เหมือนเป็นไก้ไร้หัว ไม่มีคนที่คอยกำหนดทิศทางการเล่นของทีม
บูกาโย่ ซาก้า จากเดิมที่เป็นความหวังในการผลิตสกอร์ของทีม แต่พอไม่มี โอเดการ์ด มาคอมโบในพื้นที่ทางกราบขวา นั่นทำให้ฤทธิ์เดชของ ซาก้า ด้อยลงไปอย่างชัดเจน
ส่วนระบบการเล่นเพรสซิ่งที่เป็นจุดเด่นของ อาร์เซน่อล ในยามที่มี โอเดการ์ด เป็นผู้นำการวิ่ง แต่พอพี่แกไม่ได้ลงสนามประสิทธิภาพการเพรสซิ่งกลับทำได้ไม่ดีเหมือนเดิม
สถิติบ่งบอกไว้แบบนี้ว่า อาร์เซน่อล เมื่อไม่มี โอเดการ์ด พวกเขามีเปอร์เซ็นต์ชนะเพียงแค่ 47 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เรียกได้ว่าไม่ถึงครึ่ง แต่พอมี โอเดการ์ด ลงบัญชาการเกมรุก ทัพปืนใหญ่ มีเปอร์เซ็นต์ชนะสูงถึง 66 เปอร์เซ็นต์
พอ โอเดการ์ด สลัดการบาดเจ็บกลับมาลงสนามเป็นตัวจริงอีกครั้งในรอบ 13 เกม วันที่บุกไปเยือน เชลซี เขาได้เปลี่ยน อาร์เซน่อล จากหลังตีนเป็นหน้ามือ
โอเดการ์ด คือนักเตะที่สร้างสรรค์โอกาสมากที่สุดในเกมนั้นที่ 4 ครั้ง และทำได้ 1 แอสซิสต์ เกมต่อมาเปิดบ้านพบกับทีมม้ามืดอย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ โอเดการ์ด สร้างสรรค์โอกาสได้มากที่สุดเช่นเคยที่ 6 ครั้ง แถมยังมี 1 แอสซิสต์ เรียกได้ว่ากลับคืนสนามก็ทำแอสซิสต์ได้ 2 เกมติดต่อกัน
และสองเกมเยือนล่าสุดยังบุกไปอัด สปอร์ติ้ง ลิสบอน ที่กำลังฟอร์มแรง
และสองเกมเยือนล่าสุดยังบุกไปอัด สปอร์ติ้ง ลิสบอน ที่กำลังฟอร์มแรง ด้วยสกอร์ 5-1 ต่อด้วยบุกไปถล่ม เวสต์แฮม คาบ้าน 5-2 โดยมี โอเดการ์ด บัญชาการเกมรุกในสนาม
เท่ากับว่าการกลับมาของ มาร์ติน โอเดการ์ด อาร์เซน่อล เก็บชัยได้ถึง 3 นัดจาก 4 เกมที่เขาลงเล่น แถมยังกระทุ้งตาข่ายคู่แข่งได้ถึง 14 ประตู
เท่านี้ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่า โอเดการ์ด สำคัญกับ อาร์เซน่อล มากขนาดไหน ไม่เพียงสำคัญในเชิงเกมรุกเท่านั้น แต่ยังสำคัญไปถึงระบบการเล่นของทีม
เขาคือนักเตะหนึ่งเดียวของ อาร์เซน่อล ที่ไม่มีใครทดแทนได้ เขาคือหัวใจ และเป็นทุกอย่างของทีมโดยแท้ การขาดหายไปของ โอเดการ์ด มันส่งผลกระทบอย่างแสนสาหัสต่อทั้งแฟนบอล และสโมสร
บวกกับความเป็นผู้นำในสนามที่เป็นจุดศูนย์รวมจิตใจให้ทีมกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง นี่คือเหตุผลว่าทำไม โอเดการ์ด ถึงได้รับปลอกแขนกัปตันของ ทัพปืนใหญ่
โดยหลายสื่อเชื่อกันว่าการกลับมาของ มาร์ติน โอเดการ์ด จะทำให้ อาร์เซน่อล กลับเส้นทางลุ้นแชมป์อีกครั้ง หลังจากที่ออกทะเลไปนาน และนี่แหละครับคือความสำคัญของ กัปตันทีมชาวนอร์เวย์ ผู้นี้ว่าทำไม ทัพปืนใหญ่ ถึงขาดเขาไปไม่ได้