logo-heading

เรนเจอร์ส ทีมดังลีกสูงสุด สกอตแลนด์ ภายใต้การนำทีมของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด สร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ ด้วยการผงาดคว้าแชมป์ สกอตติช พรีเมียร์ชิพ ฤดูกาลนี้เรียบร้อยแล้ว หลังจาก เซลติก พลาดท่าเสมอ ดันดี ยูไนเต็ด 0-0 ในเกมล่าสุด ทำให้ เรนเจอร์ส นำแต้มขาดเรียบร้อยแล้ว โดยที่พวกเขายังคงเป็นทีมที่ไร้เทียมทานใน สกอตติช พรีเมียร์ชิพ เวลานี้ ด้วยผลงานยังไร้พ่ายในเกมลีกฤดูกาลนี้

ผลงานของ เรนเจอร์ส ในฤดูกาลนี้ไร้เทียมทานอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม พวกเขากวาดคะแนนได้ต่อเนื่อง ปัจจุบัน เรนเจอร์ส นำจ่าฝูงบนตารางคะแนนชนิดที่ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง เซลติก ไปถึง 20 แต้ม และจากระยะห่างที่ เรนเจอร์ส ทิ้ง เซลติก ไปในฤดูกาลนี้ก็ทำให้แต้มขาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในรอบ 10 ปีเรียบร้อย แม้จะเหลือการแข่งขันอีก 6 เกมในฤดูกาลนี้ วันนี้ขอบสนามจึงพามาวิเคราะห์ว่าเหตุใด เรนเจอร์ส ภายใต้การนำทีมของ เจอร์ราร์ด สามารถเล่นได้อย่างไร้เทียมทาน และสามารถโค่น เซลติก ที่ครองความไร้เทียมทานมาได้ตลอด 9 ฤดูกาลที่ผ่านมา ทวงคืนตำแหน่งเจ้าพ่อบอลสก็อตต์ ได้อย่างยิ่งใหญ่ 1. เรนเจอร์ส ที่พร้อมไปด้วยความมั่นใจ เรนเจอร์ส ทำสถิติได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ ด้วยการเอาชนะไปถึง 29 เกม เสมอเพียง 4 เกมในลีก ยังคงไร้พ่ายในเกมลีก รวมไปถึงในเวที ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก พวกเขาแพ้เพียง 1 เกมเท่านั้นจากการลงแข่งขันทุกรายการ ซึ่งเกมที่แพ้อาจจะเซอร์ไพรส์เล็กน้อยเพราะเป็นการแพ้ต่อ เซนต์ เมียร์เรน ในฟุตบอลถ้วยสกอตแลนด์รอบ 8 ทีมสุดท้าย เป็นผลการแข่งขันที่น่าผิดหวังเล็กน้อย แต่ทว่าพวกเขาก็สามารถเก็บแรงไว้โฟกัสกับรายการอื่นได้ โดยเฉพาะถ้วยยุโรปอย่าง ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ที่พวกเขายังอยู่ในเส้นทางที่ดีและไม่แพ้ใครในฤดูกาลนี้ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแล้วเรียบร้อย แต่ในรายการฟุตบอลถ้วยก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงโบนัส เพราะสิ่งที่พวกเขาหมายมั่นปั้นมือจริง ๆ คือเกมฟุตบอลลีกมากกว่า ด้วยการเล่นที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ และความกระหายกระตือรือร้นของนักเตะทุกคนในทีม ประกอบกับระบบที่ลงตัว ทำให้ เรนเจอร์ส อยู่ในโมเมนตั้มที่ดีมีความมั่นใจสูง เดินหน้าคว้าชัยชนะในเกมลีก จนสามารถคว้าแชมป์สกอตติช พรีเมียร์ชิพ ภารกิจที่เหลือของพวกเขาคือลุ้นไร้พ่ายในเกมลีกฤดูกาลนี้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับการพา เรนเจอร์ส ไร้เทียมทานคว้าแชมป์ลีก 2. เกมรุกพร้อมผลิตสกอร์ เกมรับดั่งภูผา ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ เรนเจอร์ส ไร้เทียมทานในฤดูกาลนี้ คือการที่มีเกมรับที่แน่นหนา พวกเขาเสียไปเพียง 9 ประตูเท่านั้นในเกมลีกฤดูกาลนี้ จากการลงแข่งขัน 32 เกม การที่เกมรับไว้ใจได้ ทำให้ทุกอย่างเล่นง่ายขึ้น โดย เจอร์ราร์ด พาทีมทำสถิติเก็บคลีนชีตในลีกสกอตติช พรีเมียร์ชิพ ทำลายสถิติเดิมที่ เซลติก เคยทำไว้ในปี 1906 สามารถรักษาคลีนชีตได้ถึง 6 เกมติดต่อกันไปแล้วเรียบร้อย นอกเหนือจากเกมรับที่เป็นจุดเด่นสำคัญของ เรนเจอร์ส ฤดูกาลนี้แล้วเกมรุกของพวกเขาก็น่ากลัวไม่แพ้กัน เพราะพร้อมที่จะผลิตสกอร์ปิดบัญชีคู่แข่งตลอดเวลา โดยช่วยกันทำไปได้ถึง 77 ประตู ในฤดูกาลนี้ หากเปรียบเทียบกับพรีเมียร์ลีก ก็เหมือน ลิเวอร์พูล เมื่อฤดูกาลที่แล้วที่พวกเขาคว้าแชมป์แบบไร้เทียมทาน เพราะมีกองหลังที่ยอดเยี่ยม และมีแนวรุกที่พร้อมจะผลิตสกอร์ทุกเมื่อ ถือเป็นจุดแข็งของพวกเขาเลยทีเดียว 3. เซลติก อ่อนแอลง อย่างหนึ่งที่ผลงานของ เรนเจอร์ส ไร้เทียมทาน คือการที่คู่แข่งอย่าง เซลติก อ่อนแอลง ลูกทีม เซลติก ของ นีล เลนนอน ในฤดูกาลนี้ ต้องประสบกับปัญหาทั้งอาการบาดเจ็บ และโดน โควิด-19 เล่นงาน ทำให้ นักเตะบางรายไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบตามมาตรการป้องกัน โควิด-19 ทำให้มีการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จนบางเกมมีอันต้องเลื่อนออกไป รวมถึงบางครั้งก็ไม่สามารถใช้งานนักเตะตัวหลักได้ ส่งผลเสียอย่างมากต่อการบริหารจัดการในทีม เรื่องระเบียบวินัยจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ เซลติก ในฤดูกาลนี้อ่อนแอลง ต่างกับ เรนเจอร์ส ที่ไม่มีปัญหานักเตะบาดเจ็บ หรือเสี่ยงติดโควิด-19 จนลงแข่งขันไม่ได้ นอกเหนือจากปัญหาอาการบาดเจ็บแล้ว เซลติก ขาดความมั่นใจไปมาก เห็นได้ชัดว่า นีล เลนนอน กุนซือของทีมไม่สามารถรวมสมาธิของลูกทีมไว้ได้ อีกทั้งเกมรับของพวกเขาในฤดูกาลนี้ก็พลาดง่ายกลายเป็นปัญหาอย่างเช่นนัดล่าสุดที่พลาดท่าหลุดเสมอ ซึ่งผลงานในฤดูกาลนี้ พวกเขา ชนะ 20 เกม เสมอ 8 และแพ้ไป 4 เกม ซึ่ง 2 ใน 4 เกมคือการแพ้ต่อ เรนเจอร์ส อีกด้วย 4. ประกอบไปด้วยนักเตะที่ยอดเยี่ยม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เซลติก มีนักเตะที่ชื่อชั้นดีกว่า เรนเจอร์ส หลายคน นักเตะหลายรายของ เซลติก ถูกพูดถึงและเป็นที่จับตามองของบรรดาทีมใหญ่ในยุโรป แต่ทว่าในฤดูกาลนี้ เรนเจอร์ส มีนักเตะที่ถูกพูดถึงและน่าจับตามองหลายรายเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ เจมส์ ทาเวอร์เนียร์ แบ็กขวากัปตันทีมของ เรนเจอร์ส และเป็นดาวซัลโวของทีมในปัจจุบัน เขาสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดกลายเป็นหัวใจสำคัญทั้งเกมรุกและรับของ เรนเจอร์ส ในชั่วโมงนี้ แผงหลัง เรนเจอร์ส ยังมี คอนเนอร์ โกลสัน เซ็นเตอร์แบ็กคนสำคัญของทีม ที่เป็นหัวใจในเกมรับแล้วยังสามารถขึ้นมาช่วยโขกทำประตูได้อีกด้วย นอกเหนือจากนี้ เรนเจอร์ส ยังมีทั้ง เคมาร์ รูฟ, อัลเฟรโด้ โมเรลอส, ยานิส ฮาจี้, ไรอัน เคนท์ เหล่าแข้งที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นกับทีม ประกอบกับระบบและแผนการเล่นของ เจอร์ราร์ด ที่ค่อนข้างมีแบบแผนอย่างชัดเจน นักเตะทุกคนเข้าใจในระบบการเล่น ทุกอย่างจึงก่อเกิดความลงตัว ทำให้ เรนเจอร์ส กลายเป็นหนึ่งในทีมที่รุกดีและรับได้แน่นในเวลานี้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับการพา เรนเจอร์ส ไร้เทียมทานคว้าแชมป์ลีก 5. แรงสนับสนุนจากแฟนบอล นับตั้งแต่ที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เข้ามาเป็นกุนซือ เรนเจอร์ส ผลประกอบการของ เรนเจอร์ส ก็ดีขึ้น โดยในปี 2019 สโมสร เรนเจอร์ส เปิดเผยว่า สโมสรมีผลกำไร 5.2 ล้านปอนด์ ในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของปี 2018 นับตั้งแต่มีการแต่งตั้งให้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานนักเตะลิเวอร์พูล เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2018 การมาของ เจอร์ราร์ด เป็นการกระตุ้นให้ตั๋วเขาชมการแข่งขันรายปีของสโมสรขายดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการค้าเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น รวมถึงผลงานการเข้าไปเล่นศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ในรอบแบ่งกลุ่มก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าการเข้ามานำหน้าที่ของ เจอร์ราร์ด สร้างแรกกระตุ้นเหล่าแฟนบอลให้กลับมาเชื่อมั่น และให้ความสนับสนุนทีมอีกครั้ง และยังได้ฐานแฟนบอลมากขึ้น ในส่วนตรงนี้ก็ถือว่ามีส่วนช่วยในเรื่องการเงินของสโมสรไม่น้อย ทำให้สโมสรมีรายได้เพิ่มในเรื่องของการเสริมทีม รวมถึงแรงผลักดันของแฟนบอลยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความกระตือรือร้นให้นักเตะอยากทำผลงานที่ดีตอบแทน แม้ว่าในเวลานี้ผู้ชมยังไม่สามารถเข้าสนามได้เนื่องจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 แต่แรงสนับสนุนจากการค้าเชิงพาณิชย์ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดีไม่น้อยทีเดียว null สำหรับในฤดูกาลนี้ เรนเจอร์ส ไปถึงฝั่งฝันตามตั้งใจได้เรียบร้อย จากผลงานอันไร้เทียมทานของพวกเขา กองเชียร์ได้เห็น สตีเว่น เจอร์ราร์ด คว้าแชมป์แรกในฐานะกุนซือสำเร็จ และเป็นการโค่น เซลติก ที่ของแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศมายาวนานกว่า 9 ฤดูกาลเต็ม ที่เหลือก็เหลือเพียงว่าจะทำสถิติไร้พ่ายได้หรือไม่จากอีก 6 นัดต่อจากนี้ นอกจากนี้แล้วการคว้าแชมป์ได้เร็วก็ยังมีเวลาให้ไปโฟกัสกับการแข่งขัน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ได้อีกด้วย เห็น เรนเจอร์ส ของ เจอร์ราร์ด แล้วก็ปลื้มใจไม่น้อย ถือเป็นก้าวแรกก้าวสำคัญในอาชีพกุนซืออีกด้วย คงต้องมาตามกันต่อว่า เจอร์ราร์ด จะพาทีมไร้พ่ายได้หรือไม่ และจะพาทีมไปได้ไกลแค่ไหนใน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก น่าติดตามไม่น้อยทีเดียว รวมถึงเส้นทางของเขาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เพราะว่าตอนนี้ สตีวี่จี ได้ขึ้นแท่นโค้ชหนุ่มเนื้อหอมแห่งวงการลูกหนังยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เปี๊ยกบางใหญ่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมผ่านทางไลน์
logoline