logo-heading

ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัด แรก ในค่ำคืนนี้ (24 เมษายน) ที่ทุกๆ คนรอคอยก็เดินทางถึงกับการพบกันระหว่าง ลิเวอร์พูล ตัวแทนหนึ่งเดียวจาก อังกฤษ จะได้เฝ้ารัง แอนฟิลด์ ก่อนรอรับมือกับ อาแอส โรม่า ตัวแทนจาก อิตาลี

ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ก็คาดหวังที่จะก้าวไปถึงแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ส่วนทางม้ามืดอย่าง โรม่า ก็ฝันที่จะได้ชูถ้วยโทรฟี่แชมป์รายการนี้สักครั้งในชีวิต แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่สำคัญที่สุดในเกมๆ นี้ก็คงเป็นการกลับมาเผชิญหน้าทีมเก่าอีกคำรบของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกยอดดาวยิงทีมชาติ อียิปต์ นับตั้งแต่เช็คเอ้าท์ย้ายออกจากกรุงโรมช่วงหน้าร้อนปีที่แล้ว ชื่อของ "โม ซาลาห์" ถูกพูดถึงกันไปทั่วโลกกับฟอร์มการเล่นสุดสะแด่วในซีซั่นนี้โดยเฉพาะการยิงประตูได้แบบถล่มทลายที่ ณ เวลานี้ได้แตะหลัก 40 ประตูเข้าไปแล้ว จนหลายๆ ฝ่ายเชียร์และมั่นใจว่า ณ ตอนนี้สามารถก้าวขึ้นไปเทียบชั้นกับ ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้แล้ว แต่วันนี้เราจะไม่ขอพูดถึงจุดๆ นั้น เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเกมๆ นี้ เมื่อเอ่ยถึงเกมที่จะประชันแข้งกับทีมเก่า "หมาป่าแห่งกรุงโรม" ทาง "ขอบสนาม" ก็ขอพาทุกท่านไปเจาะลึกเปรียบเทียบฟอร์มการเล่นของเจ้าของฉายา "เมสซี่ แห่ง อียิปต์" ผู้นี้กันว่าสมัยอยู่กับ โรม่า กับสมัยอยู่กับ ลิเวอร์พูล มันแตกต่างกันอย่างไร ? และเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ?

บทบาทและหน้าที่

สมัยอยู่กับ โรม่า บทบาทและความรับผิดชอบของ โม ซาลาห์ จะหนักไปทางตัวสร้างสรรค์เกมมากกว่า คอยผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูอาทิเช่น เอดิน เชโก้ หัวหอกเบอร์ 1 ของค่าย "หมาป่าแห่งกรุงโรง" แต่ในขณะเดียวกันทาง ซาลาห์ เองก็มีจังหวะยิงประตูให้กับทีมได้บ้างเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการตามซ้ำดาบ 2 หรือไม่ก็แต่งจังหวะเองและเน้นปั้นโค้งๆ จากบริเวณนอกกรอบเขตโทษ ส่วนจังหวะลากเลื้อยเข้าไปยิงเองก็มี แต่ไม่บ่อยมากนัก กับ ลิเวอร์พูล บทบาทของ ซาลาห์ นั้นแตกต่างออกไปเพราะเขาถูกดันให้ยืนอยู่สูงมากขึ้นในแดนหน้า มีการบีบเข้าไปตรงกลางประตูมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องลงไปรอเชื่อมเกมหรือไปล้วงบอลเหมือนแต่ก่อน พร้อมกับหาช่องรอประสานกับเพื่อนร่วมทีม เน้นใช้ทักษะส่วนตัวที่ทำได้ดีไม่ว่าจะเป็นการเล่นในทีมแคบ, การจับบอลแรก ตลอดจนเรื่องของความเร็ว เราจะเห็นได้ว่ามันมีจังหวะที่ ซาลาห์ หลุดเข้าไปยิงและได้ดวลเดี่ยวๆ กับนายทวารคู่แข่งบ่อยครั้ง

เพื่อนร่วมทีม

ตลอดระยะช่วง 2 ฤดูกาลที่ โรม่า นั้น ซาลาห์ ส่วนใหญ่จะได้ผนึกกำลังในแนวรุกกับพวก เอดิน เชโก้, สเตฟาน เอล ชาราวี่ และ ดีเอโก้ เปรอตติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละคนนั้นมีจุดเด่นที่ต่างกัน อย่าง เชโก้ จะมีจุดเด่นอยู่ที่เรื่องการทำประตูในหลายๆ รูปแบบ แต่ไม่ได้มีเทคนิคอะไรมากมาย ส่วน "ฟาโรห์น้อย" อาจจะเล่นเป็นตำแหน่งปีก แต่ก็มีความพลิ้วแค่ในระดับหนึ่ง ไม่ได้คล่องอะไรมากมาย แถมการเคลื่อนที่จะดูหนักไปทางกองหน้ามากกว่า ขณะที่ เปร็อตติ ก็ดูเป็นแค่ผู้เล่นตำแหน่งริมเส้นธรรมดาไม่ได้มีจุดเด่นหรือพิษสงร้ายกาจอะไรนอกจากการไปกับบอลได้ดีระดับหนึ่ง กับการกระชากและครอสบอลเปิดเข้าไปในกรอบเขตโทษ มันก็เลยทำให้ ซาลาห์ นั้นต้องเน้นบทบาทตัวทำเกมมากกว่าตัวล่าสกอร์ ไม่เหมือนกับที่ ลิเวอร์พูล กับการได้ร่วมงานกับพวก ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่ดูจะเคมีตรงกันมากกว่า เพราะแต่ละคนนั้นมีเทคนิคที่ดี เอาตัวรอดได้ดี คล่องแคล่วว่องไว และที่สำคัญคือสามารถผลัดกันทดแทนตำแหน่งกันได้ หวังผลและไว้ใจได้ทุกคน ซึ่งนั่นทำให้ ซาลาห์ ไม่ต้องแบกภาระกับการเป็นตัวเดินเกมแค่อยู่คนเดียว และมีโอกาสเข้าไปยืนอยู่ในกรอบเขตโทษบ่อยขึ้น และก็นำมาซึ่งการระเบิดสกอร์ที่มากมายในฤดูกาลนี้

สไตล์การเล่นของทีม

โรม่า ถ้าเป็นในยุคใต้บัลลังก์ ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ ก็เป็นทีมที่เล่นเกมบุกธรรมชาติอยู่แล้วโดยจะเน้นขึ้นไปปิดล้อมบริเวณหน้ากรอบเขตโทษคู่แข่งและหาจังหวะเข้าทำ ถ้าเกิดพลาดเสียบอลก็มีโอกาสเสียประตูสูง เราจะได้เห็นบ่อยที่หลายๆ เกม พวกเขายิงได้เยอะ และก็เสียเยอะเช่นกัน ส่วนในเรื่องของจังหวะ เคาท์เตอร์ แอทแทค ก็ประสิทธิภาพไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะผู้เล่นที่มีความคล่องตัว เทคนิคดีๆ และว่องไวๆ จัดๆ มีไม่เยอะ ดังนั้นถ้าศัตรูสามารถตัดจังหวะที่ตัวของ ซาลาห์ ได้มันก็จบ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็เป็นทีมที่รุกจัดจ้านเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ได้ประสิทธิภาพก็คือการเพรสซิ่งทำลายเกมคู่แข่ง และใช้ท่าไม้ตายคือเกมสวนกลับ โดย ลิเวอร์พูล นั้นสามารถใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของ ซาลาห์ ได้เต็มๆ ทั้งเรื่องของความว่องไว และการไปกับบอลที่ดี แถมยังมีแนวรุกอย่าง มาเน่ ที่เป็นจรวดทางเลียบวิ่งตามมาประสานงานด้วยอีกคน ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเวลา ลิเวอร์พูล สวนกลับใช้เวลาจากแดนตัวเองไปถึงปากประตูศัตรูโดยใช้เวลาแค่แปปเดียว แถมยังได้โอกาสจบแทบทุกครั้งด้วย

ค่าเฉลี่ยการยิงประตู

แน่นอนว่าจากบทบาทส่วนใหญ่ที่ โรม่า ซาลาห์  จะโดดเด่นเรื่องการสร้างสรรค์เกมมากกว่า ดังนั้นเรื่องการยิงประตูคงจะสู้ตอนปัจจุบันกับ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ โดยตลอด 2 ฤดูกาลกับทัพ "หมาป่าแห่งกรุงโรม" ยิงไป 34 ประตูจาก 83 เกมในทุกรายการ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 193.6 นาทีต่อประตู ส่วนกับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ซึ่งเป็นปีแรกของ โม ซาลาห์ ตะบันไปแล้ว 41 ประตูจาก 46 เกมในทุกรายการ ซึ่่งค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 89.3 นาทีต่อประตู หรือหมายถึง 1 ประตูต่อ 1 เกมนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นในปีนี้ ซาลาห์ มีโอกาสยิงทั้งหมด 176 ครั้ง และมันเกือบเท่ากับโอกาสทั้งหมดที่ทำได้กับ โรม่า 192 ครั้งตลอดระยะเวลา 2 ฤดูกาลรวมกันเลยทีเดียว

การสร้างสรรค์เกม

ในแง่ของการสร้างสรรค์เกม ซาลาห์ ทำมันได้ดีทีเดียวกับสมัยปักหลักอยู่ที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก้ โดยตัวเลขนั้นอยู่ที่ 163 ครั้ง เฉลี่ยแล้วทำได้ 2.2 ครั้งต่อเกม ส่วนกับ ลิเวอร์พูล นั้นสร้างสรรค์โอกาสไป 82 ครั้ง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2 ครั้งต่อเกม โม ซาลาห์ ทำไป 18 แอสซิสต์ ตลอด 2 ปีกับ โรม่า ขณะที่ฤดูกาลนี้กับ ลิเวอร์พูล ทำไปแล้ว 11 ครั้ง

การครองบอล

สำหรับผู้เล่นอย่าง ซาลาห์ แน่นอนว่าเรื่องศักยภาพในการครีเอทีฟสร้างสรรค์นี่ไม่ต้องสงสัย แต่ที่เจ๋งไปกว่านั้นก็คือการครองบอล เขาเลี้ยงบอลผ่านคู่ต่อสู้ 106 ครั้งเมื่อสมัยอยู่กับ โรม่า เฉลี่ยแล้วต่อเกมอยู่ที่ เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 2.6 ต่อเกม ส่วนกับ ลิเวอร์พูล นั้นเขาก็ทำได้เยี่ยมพอๆ กัน  

-HaMuDosSantos-

 
logoline