logo-heading

เป็นอะไรที่โคตรเหลือเชื่อ สำหรับเส้นทางการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของ เชลซี เพราะหากย้อนกลับไปช่วงต้นฤดูกาล แทบจะไม่มีความหวังอยู่เลย เพราะลำพังแค่ผลงานในลีกก็แทบเอาตัวไม่รอด แต่กระนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกุนซือจาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด มาเป็น โธมัส ทูเคิ่ล ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

เกมรุกเฉียบคมขึ้น, เกมรับแข็งแกร่งสุดๆ และ ไม่มีใครปรามาสได้เลยว่า สิงห์บลูส์ ชุดนี้ ได้แชมป์มาแบบฟลุ๊คๆ เพราะผลงานโดดเด่นเป็นประจักษ์ต่อสายตาแฟนบอลทั่วโลก เพื่อเป็นการสดุดีเจ้าของแชมป์ ยูซีแอล ฤดูกาลล่าสุด จะพาย้อนไปดูเส้นทางของ เชลซี ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม จนมาถึงรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาฝ่าฟันมาขนาดไหน กว่าจะถึงจุดนี้

เส้นทาง รอบแบ่งกลุ่ม

ต้องบอกว่า เชลซี จับสลากมาอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้แข็งมากนัก โดยชั่งน้ำหนักอีก 3 ทีม ถือว่า สิงห์บลูส์ เหนือกว่าใครด้วยซ้ำ ประกอบด้วย เซบีย่า, แรนส์ และ คราสโนดาร์ ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย เพราะตอนนั้นการคุมทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด สามารถผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ได้แบบชิลล์ๆ

- VS คราสโนดาร์

การเจอกับ คราสโนดาร์ ทีมดังแห่ง พรีเมียร์ลีก รัสเซีย นับว่าไม่ใช่งานยากเย็นอะไรสำหรับ เชลซี เพราะเหนือกว่าทีมจากแดน "หมีขาว" ทีมนี้อยู่หล่ายขุม โดยเกมรอบแบ่งกลุ่มนัด 2 สิงห์บลูส์ ก็บุกไปถล่มแบบยับเยิน 4-0 ไล่เรียงกันยิง ตั้งแต่ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย, ติโม แวร์เนอร์, ฮาคิม ซิเย็ค และ คริสเตียน พูลิซิช ถึงแม้ว่าเกมที่กลับมาเล่นในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ จะทำได้เพียงเสมอกับ คราสโนดาร์ 1-1 แต่นัดนั้นมันไม่มีความหมายแล้ว เพราะเป็นเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม และ สิงห์บลูส์ ผ่านเข้ารอบไปแล้วในฐานะอันดับ 1 ทำให้ แลมพาร์ด เลือกให้โอกาสสำรองหลายๆคนได้ลงมาสัมผัสเกมบ้าง

- VS แรนส์

ต่อให้ แรนส์ จะติดท็อปทรีของ ลีก เอิง ฝรั่งเศส เมื่อซีซั่น 2019-20 แต่กระนั้นพวกเขาถือว่าเป็นทีมน้องใหม่ แห่งเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะนี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ที่สามารถคว้าโควต้ามาแข่งขันรายการนี้ได้ แบบนั้น เชลซี ก็เลยจัดการรับน้องใหม่ ตั้งแต่เกมที่บุกมาเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยการเปิดบ้านไล่ยำใหญ่ ใส่ไข่ดาว ด้วยสกอร์ 3-0 หลังคู่แข่งก็เหลือ 10 คน ซึ่งวันนั้น ติโม แวร์เนอร์ ซัด 2 จุดโทษ ส่วนอีกลูกก็เป็น แทมมี่ อับราฮัม ยิงปิดกล่องตั้งแต่เริ่มต้นครึ่งหลัง อย่างไรก็ตาม ตอนที่ สิงห์บลูส์ บุกไปเยือน แรนส์ ถือว่ารากเลือดเหมือนกัน เพราะเกมกำลังจะจบด้วยผลเสมอ แต่ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กลายเป็นซูเปอร์ซัพ ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง ยิงประตูให้กับ เชลซี ด้วยการโฉบขึ้นโหม่งบอลเสียบใต้คาน ให้ทีมขึ้นนำ 2-1 นาที 90 และ คว้า 3 แต้มสำคัญไปครอง

- VS เซบีย่า

ในกลุ่มของ เชลซี ต้องบอกว่า เซบีย่า คือคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อมากที่สุด เป็นทีมชั้นนำของ ลา ลีกา สเปน และ มีดีกรีเป็นเจ้าพ่อ ยูโรปา ลีก มายาวนานหลายปี ซึ่งทั้งคู่ได้ประเดิมฟาดแข้งกันก่อนเลยในรอบแบ่งกลุ่ม แต่เกมนั้นที่บ้าน สิงห์บลูส์ เหมือนดูเชิงกันส่วนใหญ่ โอกาสเข้าทำของทั้ง 2 ทีมหายากมาก ทำให้จบลงด้วยผลสกอร์ 0-0 ส่วนอีกหนึ่งนัดที่ เชลซี ต้องบุกไปเยือน ราม่อน ซานเชซ ปิซฆวน รังเหย้า เซบีย่า เหมือนการชิงดำว่า ใครจะเข้าเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม คราวนี้ไม่มีดูเชิงกันแล้ว เพราะสกอร์เกิดขึ้นเร็วตั้งแต่ 8 นาทีแรก ซึ่งกลายเป็นของ สิงห์บลูส์ หลังจากนั้น เชลซี ก็รัวอีก 3 เม็ด เอาชนะ เซบีย่า ไปแบบถล่มทลาย 4-0 แต่ที่มันพิเศษไปกว่านั้น ก็คือการยิง 4 ลูก ของ เชลซี ในเกมถล่มนี้ มาจากคนๆเดียวจากชายที่ชื่อว่า โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ หลังโชว์ความเป็นเพชฌฆาต สังหารคนเดียวไม่แบ่งใคร นับเป็นฟอร์มที่ช่วยกู้หน้าให้กับทีมเลยทีเดียว พร้อมกับเป็นชัยชนะ ช่วยให้ทีมการันตีเข้ารอบน็อคเอาท์ในฐานะอันดับ 1 ของกลุ่มทันที จบรอบแบ่งกลุ่ม ถือว่าเป็นฟอร์มที่สาวก เดอะ บลูส์ พอจะยิ้มออกได้บ้าง เนื่องจากผลงานในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไม่ค่อยดีนัก ลบภาพฝันร้ายออกไป โดย เชลซี เข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม แข่ง 6 นัด ชนะ 4 นัด เสมอ 2 นัด ไม่แพ้ใครเลย เก็บไป 14 คะแนน 

รอบ 16 ทีมสุดท้าย

- VS แอตเลติโก มาดริด

เหมือนว่ารอบแบ่งกลุ่มได้ใช้โควต้าเจอของเบาไปแล้ว พอมาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย จึงโดนจัดหนักทันที เมื่อ เชลซี จับสลากไปโคจรพบกับ แอตเลติโก มาดริด ยักษ์ใหญ่จอมเขี้ยวแห่ง ลา ลีกา สเปน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทีมที่ไม่มีใครอยากเจอ เพราะมีเกมรับที่เหนียวแน่น และ ประสบการณ์ล้นเหลือในรายการนี้ ถึงขั้นที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ออกปากว่าทัพ "ตราหมี" คือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในรอบน็อคเอาท์นี้ ซึ่งแฟนบอล เชลซี ก็ดูไม่อยากเจอเหมือนกัน เพราะด้วยผลงานในลีกย่ำแย่จริงๆ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะฟาดแข้งกับ แอต. มาดริด ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กลายเป็นว่า "ซูเปอร์แฟร้งค์" ถูกปลดออกจากตำแหน่งไปแล้ว เนื่องจากทีมตกมาอยู่อันดับ 9 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทำให้ โธมัส ทูเคิ่ล เข้ามากุมบังเหียนคุมทีม เชลซี ลุยเกมยุโรป เจอกับ แอตเลติโก มาดริด เพียงแค่นัดเปิดซิง ก็เป็นตัวจุดประกายความหวังให้กับแฟนบอลทันที เพราะเขาสามารถพา สิงห์บลูส์ โค่น "ตราหมี" นัดแรกได้สำเร็จ จากประตูชัยของ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ เรียกว่าจากเป็นรองสุดกู่ กลายมากุมความได้เปรียบโอกาสผ่านเข้ารอบสดใสกว่า ถ้าชนะนัดเดียวอาจเรียกว่าฟลุ๊ค แต่ ทูเคิ่ล ทำให้เห็นอีกครั้งว่า เขาเข้ามาเปลี่ยนให้ เชลซี แข็งแกร่งกว่าเดิมมากขึ้นหลายขุม เพราะนัดที่กลับมาเล่นในบ้านตัวเอง ก็ยังคงโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมเหนือกว่า ตราหมี โดยเฉพาะผลงานของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ สุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆ สุดท้ายเป็น สิงห์บลูส์ ที่เอาชนะไปได้อีก ด้วยสกอร์ 2-0 เขี่ย แอตเลติโก มาดริด อีกหนึ่งตัวเต็งตกรอบไป

รอบ 8 ทีมสุดท้าย

- VS เอฟซี ปอร์โต้

ไมได้เป็นการดูถูก เอฟซี ปอร์โต้ แต่อย่างใด แต่นี่คือทีมที่ใครๆก็อยากเจอในรอบนี้ เพราะดูว่าจะเบามือกว่าใครเพื่อน หากเหลือบไปดู สิง สา ลา สัตว์ ที่ผ่านเข้ารอบมา และเป็น เชลซี ที่เหมือนถูกหวย จับสลากไปพบกับทีมดังจากโปรตุเกส ในที่สุด เพียงแค่เกมแรกที่ เชลซี เป็นฝ่ายบุกไปเยือนก่อน ก็โชว์ให้เห็นแล้วว่าใครเหนือกว่า โดย เบน ชิลเวลล์ และ เมสัน เมาท์ เป็นสองนักเตะของ สิงห์บลูส์ ซัดให้กับทีมเอาชนะ เอฟซี ปอร์โต้ 2-0 เส้นทางผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ค่อนข้างสดใส เป็นไปตามคาด อย่างไรก็ตาม เกม 2 ซึ่งต้องโม่แข้งสนามกลาง ด้วยความที่ เชลซี ตุนสกอร์มาถึง 2 เม็ด จึงไม่จำเป็นต้องเปิดเกมบุกเข้าใส่ ขอแค่ใช้จุดเด่นเกมรับ ประคองตัวไม่ให้เสียประตูก็เพียงพอแล้ว  ซึ่งแมตช์นั้น โอกาสยิงทั้ง 2 ทีม น้อยมาก แต่มีช็อตที่ ปอร์โต้ เกือบขึ้นนำเหมือนกัน ทว่า เอดูอาร์ เมนดี้ เซฟไว้ได้ กระนั้นถึงแม้ สิงห์บลูส์ จะมาเสียประตูช่วงนาที 90+3 ให้ ปอร์โต้ ตีตื้นมา 1 ลูก แต่ก็ไม่ทันกินแล้ว สุดท้าย เชลซี ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปพบกับ เรอัล มาดริด

รอบ 4 ทีมสุดท้าย

- VS เรอัล มาดริด

ถึงแม้ว่าการจับสลากของ เชลซี จะมีดวงนิดๆ เพราะไม่ตึงมือ เหมือนอีกสาย ที่มีทั้ง บาเยิร์น มิวนิค, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่การเจอกับ เรอัล มาดริด ก็หนักไม่แพ้ทีมเหล่านั้น เพราะ "ราชันชุดขาว" คือเจ้าพ่อถ้วยยุโรป ที่สำคัญเพิ่งจะปราบ ลิเวอร์พูล คู่แข่งร่วม พรีเมียร์ลีก มาหมาดๆ แต่การเจอกับ มาดริด ดูจะไม่เหนือบ่ากว่าแรงไปเลย เพียงแค่คุณมีชายที่ชื่อว่า เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เพราะมิดฟิลด์ตัวตัดเกมทีมชาติฝรั่งเศส ทำหน้าที่ได้อย่างหมดจด แทบจะตัด ลูก้า โมดริช หรือ โทนี่ โครส ให้หายจากเกมไปเลย รวมถึง วินิซิอุส จูเนียร์ อีกคน ที่เล่นได้อย่างโดดเด่นตอนปราบ ลิเวอร์พูล แต่พอมาเจอ เชลซี ฟอร์มเงียบเป็นเป่าสาก เกมแรกที่ เชลซี บุกไปเยือน เรอัล มาดริด สามารถเก็บผล อเวย์โกล มาได้ จากสกอร์ 1-1 ทำให้ความหวังที่จะผ่านเข้าชิงชนะเลิศมีมากกว่าทันที และ เมื่อมาเล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นอะไรที่โคตรมันส์ เพราะทั้ง 2 ทีม เดินหน้าแลกใส่กันตลอด 90 นาที มาดริด ก็อยากยิงประตู ส่วน เชลซี ก็ต้องการลูกซัดปิดกล่อง โดย สิงห์บลูส์ แสดงความเฉียบคมมากกว่า โอกาสเยอะกว่า และ ได้ประตูขึ้นนำก่อนจาก ติโม แวร์เนอร์ โหม่งซ้ำจ่อๆไม่พลาด ตั้งแต่นาที 28 ส่วน "ราชันชุดขาว" ไม่ได้มีจังหวะยิงมากนัก พอจะมีโอกาส ก็ไปติดเซฟ เมนดี้ ไว้หมด จนกระทั่งท้ายเกม เชลซี มายิงปิดกล่องให้ทีมเอาชนะ มาดริด 2-0 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศได้แบบสมศักดิ์ศรี เพราะต้องบอกว่าการผ่าน แอตเลติโก มาดริด, เอฟซี ปอร์โต้ และ เรอัล มาดริด เป็นฟอร์มมาสเตอร์พีซมากๆ โดยเฉพาะเกมรับ ซึ่งสามารถเก็บคลีนชีตได้ถึง 4 จาก 6 นัด ทั้งๆที่เจอกับพวกหัวกะทิทั้งนั้น จากทีมที่เสียประตูเป็นว่าเล่นสมัย แลมพาร์ด .. ทูเคิ่ล สามารถขันแนวรับให้กลายเป็น "ภูผาน้ำแข็ง" ได้อย่างสุดยอด

รอบชิงชนะเลิศ

- VS แมนเชสเตอร์ ซิตี้

เป็นอีกครั้ง .. ที่ สองยักษ์ใหญ่จาก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาโคจรฟาดแข้งกันเอง แต่กระนั้นสำหรับสาวก เชลซี หลายๆคน อาจรู้สึกหวั่นใจ, ไม่เชื่อมั่น ว่าทีมรักของพวกเขาจะมีโอกาสเข้าป้ายเป็นแชมป์ยุโรป เพราะคู่แข่งคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจ้าของแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่โชว์ฟอร์มเหนือกว่า ว่ากันตามหน้าเสื่อ สิงห์บลูส์ เป็นรองอยู่เยอะ อีกทั้งจากผลงานการแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นได้แค่รองแชมป์ในศึก เอฟเอ คัพ และ นัดปิดซีซั่น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็ไปพ่ายให้กับ แอสตัน วิลล่า 1-2 เกือบพลาดโควต้าติดท็อป 4 เรียกว่าเป็นโมเมนตั้มที่ไม่ดีนัก ก่อนจะไปเจอกับ เรือใบสีฟ้า อย่างไรก็ตาม ลูกทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ทำให้เห็นว่า ไม่เคยไม่กล้า ก้มหน้าไม่เป็น พวกเขาแสดง DNA ความเป็น เชลซี เต็มเปี่ยม คือเกมรุกอันน่าตื่นเต้น, เกมรับอันแข็งแกร่ง และ สู้กับ แมนฯ ซิตี้ แบบไม่เป็นรอง เผลอๆดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะ สิงห์บลูส์ มีโอกาสจบสกอร์หลายต่อหลายครั้ง เอาง่ายๆว่าเกมรุกของ เรือใบสีฟ้า แทบไปไม่เป็นเลย แค่จะส่องบอลให้ตรงกรอบยังทำได้ยาก ขนาด ติอาโก้ ซิลวา บาดเจ็บ และ ต้องส่ง อันเดรียส คริสเตียนเซ่น ลงมา ก็ไม่มีผลกระทบอะไร เพราะบอลระบบทดแทนกันได้ จากโอกาสที่มากกว่า โดยเฉพาะ ติโม แวร์เนอร์ สุดท้ายการบุกก็มาสัมฤทธิ์ผล จากการแทงทะลุช่องของ เมสัน เมาท์ ให้กับ ไค ฮาแวร์ตซ์ หลุดเดี่ยวไปดวลกับ เอแดร์ซอน ก่อนจะแตะหลบ ยิงเข้าไปโล่งๆให้ สิงห์บลูส์ ขึ้นนำ 1-0 ช่วงท้ายครึ่งแรก ชนิดสาวก สิงห์บลูส์ ตะโกนกันคอแทบแตก ครึ่งหลังเริ่มมา ต้องบอกว่า ทูเคิ่ล เปลี่ยนแท็คติคมารับเต็มสูบ แต่ก็แทบไม่ปล่อยโอกาสให้ เรือใบสีฟ้า ได้ยิงแบบเหน่งๆสักครั้งเดียว เรียกว่าถ้าแนวรับเล่นแบบนี้ เล่นต่ออีก 45 นาที ก็อาจจะไม่เสียประตู เพราะ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ โหดจัดๆ ดักกินเกมรุก แมนฯ ซิตี้ แบบเรียบวุธ ซึ่งช่วงที่ เควิน เดอ บรอยน์ ยังอยู่ในสนาม ผ่าน ก็องเต้ ไม่ได้เลย ราฮีม สเตอร์ลิ่ง แทบเลี้ยงไม่ผ่าน รีซ เจมส์ ที่ประกบเป็นเงาตามตัว ทางซ้าย เบน ชิลเวลล์ ก็ทำเอา แบร์นาโด้ ซิลวา, ริยาด มาห์เรซ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ ไปไม่เป็น ต่อให้เกมริมเส้นจะผ่านมาได้ แต่การครอสเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก็ไปติดแผงหลังอย่าง อันโตนิโอ รูดิเกอร์ หรือ เซซาร์ อัซปลิกวยต้า ที่ยืนรออ่านเกมเก็บกินอยู่แล้ว สุดท้ายจบลงด้วยผลสกอร์ 1-0 เชลซี คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 2 ไปแบบคู่ควร เพราะเล่นได้อย่างไร้ที่ติจริงๆ นับเป็นการเดินทางที่เหลือเชื่อ จากทีมที่แทบไม่มีความหวัง ให้กลับกลายเป็นมาเป็นเจ้ายุโรปได้สำเร็จ เครดิตตรงนี้ต้องมอบให้กับ โธมัส ทูเคิ่ล ผู้เข้ามาเปลี่ยนแปลง เชลซี อย่างแท้จริง

ฮาย ฮาวดี้-

logoline