logo-heading

การชนะในเกมแรกแบบถล่มทลาย ยังไม่ใช่การการันตีการผ่านเข้ารอบต่อไปจนกว่าจะเล่นนัดที่สอง เต่าวิ่งแข่งชนะกระต่ายในนิทานได้ ของจริงก็เกิดขึ้นกับคนที่ประมาทได้เหมือนกัน

ชัยชนะในเกมเลกแรกของ ลิเวอร์พูล ที่มีเหนือ โรม่า ในเกมรอบรองชนะเลิศนัดแรกของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบท่วมท้าน 5-2 ดูจะเป็นสกอร์ที่ขาดลอยบบที่นัดสองแทบไม่ต้องห่วงอะไร ขอแค่ตอนไปเยือน กรุงโรม ก็เล่นเซฟๆ เอา ไม่น่ายากถ้าจะตบเท้าเข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่เชื่อเถอะว่าขึ้นชื่อว่า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่เคยมีอะไรง่าย เพราะมีให้เห็นอยู่บ่อยไปที่ทีมคว้าชัยท่วมท้นในเกมแรก แต่หัวแตกกลับบ้านอกหักตกรอบในเกมถัดมา นี่ไม่ได้เป็นการลบหลู่ใดๆ ต่อพลพรรค "เร้ด แมชชีน" เพียงแค่อยากบอกว่า แม้จะนำห่างขนาดนี้ ก็อย่าประมาท เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกฟุตบอล เราเลยอยากให้เห็น ตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงก่อนหน้านี้บนเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก กับการคัมแบ็กแบบน่าเหลือเชื่อ 10. เรอัล มาดริด 2015/16 เกมนัดนั้นเป็นรอบรองชนะเลิศ เรอัล มาดริด มีคิวต้องบุกไปเยือน โวล์ฟบวร์ก ที่เยอรมันก่อน ปีนั้น "หมาป่าเมืองเบียร์" อยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม แถมยังโดนยิงนำไปก่อนจากจุดโทษของ ริคาร์โด้ โรดริเกวซ ในนาที 18 ตามด้วย แม็กซ์ อาร์โนลด์ ในนาทีที่ 25 จบเกมนัดแรก "ราชันชุดขาวแพ้ 0-2 ใครจะคิดว่าจะมีปาฏิหาริย์ ทว่าพวกเขาก็มีผู้ชายที่สร้างปาฏิหาริย์ได้เองอยู่แล้ว นั่นคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เขาจัดการกดแฮตทริกในเกมที่ 2 พาทีมเข้ารอบไปได้สำเร็จ https://www.youtube.com/watch?v=FUhwgfaZ9Pk 9. บาเยิร์น มิวนิค 2014/15 "เสือใต้" มีผลงานเกมเยือนที่ไม่สู้ดีนักในซีซั่นนั้น และนั่นออกมาชัดเจนบนสกอร์บอร์ด เมื่อพวกเขาบุกไปแพ้ ปอร์โต้ ยับเยินถึง 1-3 ในเกมแรกที่โปรตุเกส จาก ริคาร์โด้ กวาเรสม่า 2 ประตู และ แจ็คสัน มาร์ติเนซ 1 ลูก ใครๆ ก็บอกว่ายังโชคดีที่ได้ประตูทีมเยือนจาก ติอาโก้ อัลกันตาร่า ช่วยไว้ ทำให้ไม่แย่มากนัก เกมนัดสองแค่ชนะ 2-0 ก็เข้ารอบได้ แต่นั่นไม่ "สาแก่ใจอีช้อย" พี่แกล่อไป 6-1 จน ปอร์โต้ กลับบ้านไม่ถูกเลย 8. เชลซี 2013/14 เชลซี ต้องโคจรมาพบกับ "เปแอสเช" ที่กำลังไต่เต้าไล่ล่าความสำเร็จบนเวทียุโรป ในฤดูกาลนั้นรอบ 8 ทีมสุดท้าย พวกเขาบุกไปแพ้ที่ฝรั่งเศสมาก่อน 1-3 แบบทำอะไรไม่ได้ เพราะประตูที่ได้มาก็เป็นจุดโทษเท่านั้น ใครๆ คิดว่ามาเกมสองที่อังกฤษ ก็คือวันที่คู่แข่งคงมาตั้งรับ และเน้นแค่ไม่แพ้ แต่ที่ไหน่ได้ โชเซ่ มูรินโญ่ เก็บทุกรายละเอียด ไม่พลาดทุกกระเบียดนิ้ว แก้ไขจุดอ่อนต่างๆ ได้ จนกลับมาชนะ 2-0 ผ่านเข้ารอบไปได้ด้วยกฏประตูทีเยือน 7. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2013/14 แม้ว่านี่จะเป็นยุคที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือไปแล้ว เป็นการเปลี่ยนถ่ายสู่มือของ เดวิด มอยส์ ตอนนั้นทีมยังได้เล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเคยคัมแบ็กได้อย่างยอดเยี่ยม เกมในรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาบุกเยือน โอลิมเบียกอส ที่กรีซ ในรอบ 16 ทีม เป็นเจ้าบ้านที่นำไปก่อน 0-2 ทว่าที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กลับมีเรื่องเหลือเชื่อขึ้นเมื่อครั้งนี้ลูกๆ ของ มอยส์ รัว 3 เม็ดซ้อน ผ่านเข้ารอบไปได้ 6. บาร์เซโลน่า 2012/13 การพบกันในรอบ 16 ทีมของ เอซี มิลาน กับ บาร์เซโลน่า ก็ถือว่าน่าดูโคตรๆ แล้ว ตอนนั้น มิลานถือว่าทำได้ดี ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัยด้วยการชนะในบ้านตัวเอง 2-0 แบบที่ "บาร์ซ่า" ไม่มีโอกาสได้เถียงสักดอก แต่สุดท้ายใครจะคาดคิด ว่า เมสซี่ จะกดสูตรติดอีกแล้ว เขายิง 2 ลูกที่ คัมป์ นู พร้อมทั้ง ดาบิด บีย่า และ จอร์ดี้ อัลบา ปิดท้ายไปอีกลูก สุดท้าย มิลาน บุกไปแพ้ 4-0 แบบไม่ได้เถียงสักคำเหมือนกัน https://www.youtube.com/watch?v=iZA1FOTopMw 5. เชลซี 2011/12 นาโปลี ในยุคที่มีทั้ง เอเซเกล ลาเวซซี่ กับ เอดินสัน คาวานี่ เป็นกองหน้ามันโคตรน่ากลัว ตอนนั้น เชลซี บุกไปต่อกรกับพวกเขาแล้วแพ้กลับมาแบบย่อยยับ 1-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย สิ่งที่ช่วยต่อชีวิตพวกเขาคือ 1 ประตูจาก ฆวน มาต้า มาในเกมนัดที่สอง ต้องสู้เต็มที่ และพวกเขาก็ทำได้ ชนะ นาโปลี ในเวลาปกติ 3-1 ก่อนจะยิงได้เพิ่มในช่วงต่อเวลาพิเศษ จาก บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ให้พวกเขาชนะและเข้ารอบไป https://www.youtube.com/watch?time_continue=2&v=k6dw2UXpUUo 4. โมนาโก 2003/04 มันคือการตกรอบที่โคตรเจ็บปวดของ เรอัล มาดริด ยุครวมดาราโลก พวกเขามีทั้ง หลุยส์ ฟิโก้, ซีเนดีน ซีดาน, ราอุล กอนซาเลซ, โรนัลโด้ บราซิล เจอกับ โมนาโก ที่มีนักเตะเป็นที่รู้จักอยู่ไม่กี่คน นัดแรกถล่มยับ 4-2 ชนะแบบไม่ยาก เกมนัดที่สองที่ สต๊าด หลุยส์ เดอซ์ เหมือนจะง่ายเมื่อ ราอุล ยิงนำก่อน แต่จากนั้นก็โดน ลูโดวิช ชูลี่ ยิงตีเสมอในครึ่งแรก ได้ เฟร์นานโด้ มอริเอนเตส อดีตแข้ง "ราชันชุดขาว" ยิงนำ และได้ ชูลี่ ปิดท้ายไปอีก 1 หายเลย โมนาโก้ เข้ารอบ และปีนั้นเข้าไปชิงชนะเลิศด้วย 3. บาร์เซโลน่า 1999/2000 ใครๆ ก็คิดว่าคราวนี้ เชลซี คงสยบ บาร์เซโลน่า ไว้ใต้ฝ่าเท้าได้ พวกเขาได้ประตู 3 ลูกรวดในเวลาแค่ 8 นาที จาก จานฟรังโก้ โซล่า และ โทเร่ อังเดร่ โฟล แต่ก็เป็นอีกครั้งที่มีประตูทีมเยือน 1-3 ครั้งนี้อาจต่อชีวิตให้ "บาร์ซ่า" แต่มันไม่ใช่การต่อชีวิต มันเป็นการซื้อความหวัง ที่ คัมป์ นู ยังเป็นนรกของทีมเยือนเสมอ ริวัลโด้, ฟิโก้ และ แพทริก ไคลเวิร์ต ดาหน้ากันยิง เชลซี แพ้ในการต่อเวลาพิเศษ 5-1 2. เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า 2003/04 ถ้าแฟนบอลรุ่นใหม่ ไม่รู้ว่าสมัยก่อน "ซูเปอร์ เดปอร์" เจ๋งขนาดไหน ให้ไปดูเกมนี้ ตอนนั้นพวกเขาเริ่มเกมแรกด้วยความด้อยประสบการณ์ โดน มิลาน สอยซะปลิว 4-1 ทั้ง กาก้า, อังเดร เชฟเชนโก้ และ อันเดรีย ปีร์โล่ มีชื่อบนสกอร์บอร์ด สิ่งที่พอทำได้คือประตูอเวย์โกลจาก วอลเตอร์ ปันดิอานี่ ทุกคนบอกว่ามันจบตั้งแต่ที่ ซาน ซิโร่ แล้ว ไม่น่าจะกลับมาได้ แต่ที่ ริอาซอร์ พวกขาไม่กลัวใคร ปันดิอานี่, ฆวน บาเลรอน, อัลเบิร์ต ลูเก้ และฟราน กอนซาเลซ ยิงให้ทีมชนะ 4-0 เข้ารอบไปแทน แต่สุดท้ายก็ดันมาแพ้ เอฟซี ปอร์โต้ ของ มูรินโญ่ ในรอบรองฯ ก่อนที่ ปอร์โต้ จะเป็นแชมป์ในปีนั้น https://www.youtube.com/watch?v=b3nJMn5PPbE 1. บาร์เซโลน่า 2016/17 เกมนัดแรก บาร์เซโลน่า ไปเยือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แล้วแพ้ไปด้วยสกอร์ 4-0 ยังจะกลับมาได้อีกเหรอ "เปแอสเช" ที่ศักยภาพนักเตะไม่ได้ด้อยไปกว่า "บาร์ซ่า" มากนัก บุกไปแพ้ที่ คัมป์ นู 0-3 ยังไม่ตกรอบเลย แล้วเกิดอะไรขึ้น หลายคนบอกกรรมการช่วย หลายคนบอกพลาดเอง จะได้เหตุผลอะไรก็ตาม การจะกลับมาจากตามหลัง 4 ลูกนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องมีหัวจิตหัวใจที่ไม่ธรรมดาด้วย และพวกเขาทำได้ กลับมาชนะ 6-1 ผ่านเข้ารอบไปในที่สุด และนี่คือการพลิกกลับมาเข้ารอบด้วยผลต่างประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ แชมเปี้ยนส์ ลีก https://www.youtube.com/watch?time_continue=19&v=F4ThTYKiWyQ

- เทพเฟี๊ยต -

logoline