logo-heading

ค่ำคืนนี้จะเป็นการดวลกันในรอบรองชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งที่ 5 ของ 2 มหาอำนาจโลกลูกหนังอย่าง เรอัล มาดริด และ บาเยิร์น มิวนิค

ก่อนหน้านี้ 4 ครั้งที่ดวลกันในรอบนี้ ผลเป็นอย่างไรใครชนะ และท้ายสุดเมื่อพวกเขาผ่านเข้าชิง ทำสำเร็จหรือไม่ "ขอบสนาม" จัดให้ไปดูกัน

ฤดูกาล 1999/00   หลังจากที่พลาดแชมป์อย่างน่าเจ็บใจเพราะโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รัวแซง 2 เม็ดช่วงทดเจ็บในนัดชิงปี 1999 บาเยิร์น มิวนิค ก็หวังจะแก้ตัวให้ได้ในปี 2000 แต่ก็ดันมาเจอของแข็งโป๊กอย่าง เรอัล มาดริด ในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่มาดวลกันในรอบรอง   เลกแรก เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายเฝ้ารังก่อนนำทัพมาโดย โรแบร์โต้ คาร์ลอส, ราอูล กอนซาเลซ และ เรดอนโด้ เป็นกัปตันทีม ขณะที่ "เสือใต้" ตอนนั้นมี โอลิเวอร์ คาห์น, โจวานนี่ เอลแบร์ และ เมห์เม็ต โชล เป็นกำลังสำคัญ เกมน่าจะสู้กันสูสี ทว่าเริ่มได้แค่ 4 นาทีเท่านั้น "ราชันชุดขาว" ก็ออกนำเร็วจาก นิโกล่าส์ อเนลก้า เท่านั้นไม่พอ เยนส์ เยเรมีส กองกลางตัวรับก็ดันสกัดบอลพลาดเข้าประตูตัวเองอีก จบครึ่งแรกเจ้าถิ่นนำ 2-0 ครึ่งหลังลงมาเพื่อปิดเกม และก็ทำได้สำเร็จเปิดบ้านเอาชนะไปได้ก่อน 2-0   เลกสอง คาร์สเทน แยงเคอร์ ซัดฮาล์ฟวอลเลย์ปลุกความหวังให้ "เสือใต้" ได้ตั้งแต่นาทีที่ 12 ทว่าดีใจได้แค่ 20 นาที อเนลก้า เจ้าเดิมก็ทำแสบอีกแล้วกระโดดเทกตัวขึ้นโขกผ่านมือ คาห์น เข้าประตูไปจบครึ่งแรกเสมอกัน 1-1 นั่นหมายความว่า บาเยิร์น ต้องการอีก 3 ประตูในครึ่งหลังเพื่อพลิกผ่านเข้ารอบ ทว่าก็ทำได้แค่ลูกเดียวจาก โจวานนี่ เอลแบร์ ในนาทีที่ 54 จบ 90 นาทีแม้จะชนะ 2-1 แต่สกอร์รวม 2 นัดพ่าย 3-2 ท้ายสุด เรอัล มาดริด ก็คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จหลังเอาชนะ บาเลนเซีย ในรอบชิงไปขาดลอย 3-0   ฤดูกาล 2000/01   เป็นการเจอกันในรอบรองชนะเลิศ 2 ปีซ้อน และเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่ บาเยิร์น ฝ่าฟันมาได้ถึงรอบรองชนะเลิศ ซึ่งคราวนี้ก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะล้างแค้นให้ได้ ซึ่งพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ โดยเลกแรกสามารถบุกไปตบ เรอัล มาดริด ได้ถึงถิ่น 1-0 ฮีโร่ก็คือ เอลแบร์ ที่ฟอร์มช่วงนั้นกำลังร้อนแรง เท่านั้นไม่พอ เลกสองยังกลับมาจัดการย้ำแค้นเชือด "ราชัน" ไปอีก 2-1 ทำให้รวมผล 2 นัดทะลุเข้าชิงได้สำเร็จด้วยสกอร์รวม 3-1     นัดชิงชนะเลิศ "เสือใต้" ต้องดวลกับ บาเลนเซีย ที่ผ่านเข้าชิง 2 ปีติด และต้องลุ้นกันจนถึงการดวลจุดโทษ หลังเสมอกันใน 90 นาที 1-1 ต่อเวลาพิเศษทำอะไรกันไม่ได้ ซึ่ง บาเยิร์น มิวนิค ก็ไว้ลายทีมจากเยอรมันที่ขึ้นชื่อเรื่องความแม่นเป้าเอาชนะไปได้ 5-4 ซิวถ้วยหูกางไปสมใจอยาก   ฤดูกาล 2011/12   หลังจากไม่ได้ป๊ะหน้ากันในรอบรองชนะเลิศมาครบ 10 ปี ทั้งคู่ก็ถูกประกบคู่ชนกันอีกครั้ง ซึ่งแม้เวลาจะผ่านมายาวนาน ตัวผู้เล่นจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ความเก่งกาจ และยิ่งใหญ่ของทั้ง 2 สโมสร ไม่ได้ลดลงเลย ฤดูกาลนั้น เรอัล มาดริด นำทัพมาโดย อีเกร์ กาซียาส กัปตันทีม, เซร์คิโอ รามอส, ชาบี อลอนโซ่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ส่วนขุมกำลังของ "เสือใต้" ก็แกร่งดั่งภูผาเช่นกันมี มานูเอล นอยเออร์ เฝ้าเสา, อาร์เยน ร็อบเบน คอยลากเลื้อย, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ คุมเกม, มาริโอ โกเมซ จบสกอร์   การแข่งขันสนุกสมดั่งที่ทุกคนเฝ้ารอ เลกแรก บาเยิร์น เป็นฝ่ายเปิดบ้านเชือดเอาชนะไปได้ก่อน 2-1 โดยได้ประตูชัยในนาทีสุดท้ายจาก มาริโอ โกเมซ กุมความได้เปรียบเล็กๆ ก่อนออกไปเยือน ซึ่งเลกสองก็เป็นทีของ เรอัล มาดริด เมื่อพวกเขาเปิดรังเอาคืนชนะ 2-1 ต่อเวลาพิเศษยิงกันไม่ได้ สุดท้ายต้องดวลจุดโทษหาผู้ชนะ และเป็นอีกครั้งที่ "เสือใต้" ที่ได้ชื่อว่าเจ้าพ่อจุดโทษไม่ทำให้เสียราคาเอาชนะดวลเป้าไป 3-1 ทว่าท้ายสุดก็ไปไม่ถึงแชมป์ เพราะไปแพ้ในรอบชิงชนะเลิศให้กับ เชลซี ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือแพ้ในการดวลจุดโทษของถนัดเสียด้วย หลังเสมอกันในเวลา 1-1   ฤดูกาล 2013/14   เป็นการเจอกันในรอบรองชนะเลิศระหว่างทั้งคู่ที่สกอร์รวมออกมายับเยินที่สุดแล้ว ยับเยินแบบไม่น่าเชื่อ ทั้งที่เลกแรกก็ยังไม่ได้เปรียบเสียเปรียบอะไรกันมากมาย เพราะ "ราชันชุดขาว" เปิดบ้านชนะมาก่อน 1-0 จากประตูชัยของ คาริม เบนเซม่า ตั้งแต่นาทีที่ 19 แต่ไอที่ไม่น่าเชื่อคือเลกสองนี่สิ   บาเยิร์น มิวนิค พร้อมสุดๆ ในการรอรับการมาเยือนของ เรอัล มาดริด เพราะสกอร์เกมแรกไม่ขาดแม้จะเก็บอเวย์โกล กลับมาไม่ได้ ทว่าพอเอาเข้าจริงกับเป็น "ราชันชุดขาว" ที่รัวยิงสลุตใส่เจ้าถิ่น 3 เม็ดในครึ่งแรก เล่นเอา 45 นาทีหลังจิตใจแข้ง บาเยิร์น หดหู่ไม่อยากวิ่งแล้วด้วยซ้ำ เพราะต้องยิงอีก 5 ลูกเพื่อพลิกเข้ารอบ ท้ายสุดยิงไม่ได้ไม่ว่า ยังมาโดนประตูย้ำชัยให้เจ็บกว่าเดิมจาก โรนัลโด้ ในนาทีสุดท้ายอีก จบเกมพี่เสือพ่ายยับ 4-0 สกอร์รวม 5-0 พูลสวัสดิ์   ท้ายสุดแม้ เรอัล มาดริด จะสอยแชมป์มาครองได้สำเร็จ แต่กว่าจะได้ก็รากเลือดเลยทีเดียว เพราะโดน แอตเลติโก้ มาดริด ทีมคู่ปรับร่วมเมืองขึ้นนำไปก่อน 1-0 เกมทำท่าว่า "ชุดขาว" จะพลาดท่าพ่ายชวดแชมป์ แต่แล้ว เซร์คิโอ รามอส ก็มาเป็นฮีโร่โขกประตูตีเสมอได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที ตอนนั้นสภาพจิตใจผู้เล่น "ตราหมี" ไปหมดแล้ว เพราะยันไว้ได้ตั้งนานพลาดทีเดียวเรียบร้อยเลย นอกจากสภาพจิตใจจะเสีย สภาพร่างกายก็ไม่ไหวด้วย เพราะวิ่งไล่บอลเป็นบ้าอยู่ฝ่ายเดียวมา 90 นาที สุดท้ายโดนอัดไปอีก 3 ลูกในการต่อเวลา 30 นาที  

สรุปเนื้อหาใจความได้ว่า 2 ทีมนี้เจอกันมาในรอบรองชนะเลิศ 4 ครั้ง ทีมที่ผ่านเข้าไป จะได้แชมป์ถึง 3 ครั้ง คิดเป็น 75%. ... แฟนหงส์ เห็นสถิตินี้แล้ว คิดอย่างไรบ้างครับ?

 

ชิน ชินพัฒน์

 
logoline