logo-heading

ในที่สุดศึกใหญ่ระดับชาติแห่งทวีปยุโรป หรือ ยูโร 2020 ก็เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว และก็นับเป็นคู่ชิงที่สมน้ำสมเนื้อกันสุดๆ เพราะนั่นก็คือการเผชิญหน้ากันระหว่าง 2 ทีมทีดีที่สุดอย่าง ทีมชาติอังกฤษ และ ทีมชาติอิตาลี นั่นเอง

เพื่อเป็นการโหมโรงก่อนจะถึงสังเวียนนัดชิงชนะเลิศในค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 11 กรกฏาคม นี้ เรามาวิเคราะห์เจาะลึกกันหน่อยดีกว่าว่า แต่ละชาตินั้นมี จุดแข็ง และ จุดอ่อน ตรงไหนบ้างกับทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2020 หนนี้ ซึ่งวันนี้ขอพูดถึงทางฝั่งทัพ "อัซซูรี่" ก็แล้วกัน Euro 2020 - Group A - Italy v Switzerland

จุดแข็ง

เกมรับที่แข็งแกร่ง

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทีมชาติอิตาลี ก็ยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งเกมรับที่แข็งแกร่ง รัดกุม สามารถสร้างอึดอัดใจให้คู่แข่งได้มากมายมหาศาลจนเส้นประสาทแทบจะแตกเหมือนเคย ถึงยุคสมัยจะเปลี่ยนไปแต่คุณสมบัติของผู้เล่นในตำแหน่งนี้ก็ยังคงอาศัยประสบการณ์ที่โชกโชนเป็นหลักซึ่ง อิตาลี ชุดนี้ก็มีนักเตะไทป์นี้อยู่หลายคน เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ และ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ 2 คนนี้อาจจะอายุเลยเลข 3 ไปเริ่มไกล แต่ประสิทธิภาพยังคงอยู่ในระดับ แรงค์ เอส ต่อให้คุณจะสดแค่ไหนก็ใช่ว่าจะผ่าน 2 ด่านหินนี้ไปได้ง่ายๆ ด้วยเรื่องของความเก๋าเกมไม่ว่าศัตรูจะมาไม้ไหน จะสร้างมิติแปลกตาไปแค่ไหนก็สามารถรับมือได้ทุกรูปแบบ พวกเพื่อนๆ น้องๆ ในทีมที่อยู่รอบข้างก็พลอยได้ผลประโยชน์ไปด้วยนั่นก็คือการรักษาความสมดุล เล่นกันได้ง่าย ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง แถมยังรับผิดชอบบทบาทหน้าที่ของตัวเองได้เต็มที่ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราสามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำหรับความเหนียวแน่นในแผงแนวรับ ถึงอายุจะแค่เพียง 22 ปี แต่ที่ผ่านๆ มาจนถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเจอบททดสอบที่ยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหนพี่แกก็ผ่านมันมาได้ โดยในทัวร์นาเมนต์นี้ก็มีช็อตที่แสดงให้เห็นถึงการอ่านเกมที่ดี กล้าเล่น กล้าได้กล้าเสีย มีจังหวะเซฟลูกยาวๆ ให้เห็นมากมาย การเสียไปเพียงแค่ 3 ประตูของ อิตาลี จากการลงเล่นตลอด 6 นัดในทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2020 มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญสำหรับพวกเขา ถึงมันจะไม่ใช่สถิติที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์ แต่หลายคนก็ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อิตาลี คือ ทีมที่เกมรับแข็งแกร่งที่ที่สุด และก็เป็นหนึ่งในท่าไม้ตายที่จะพาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จ

เกมรุกจัดจ้าน

แน่นอนว่าเกมรับที่แข็งแกร่งคือจุดแข็งที่สุดของ อิตาลี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมันไม่ได้เหมือนกับภาพจำในอดีตที่ผ่านมาที่เล่นแบบเน้นผลการแข่งขัน เล่นแบบอึดอัดๆ เกมตึงๆ ยิงน้อยๆ ชนะคู่แข่งแค่ 1-0 ในแต่ละนัด  มันดูเหมือนว่า "เกมรับที่แข็งแกร่งจะไม่สามารถทำให้คุณเป็นแชมป์ได้อีกต่อไป" โดย ณ ตอนนี้ทัพ "อัซซูรี่" กลายเป็นทีมที่เล่นได้หลากหลาย และมีมิติใหม่ๆ มากขึ้นซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราต้องยกเครดิตให้กับปรัชญาการทำทีมของกุนซือ โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่ยลโฉมใหม่หมดจนกลายเป็นทีมในระบบฟิวส์ชั่น เพราะตอนนี้ ทีมชาติอิตาลี ได้กลายเป็นทีมที่เล่นเกมรุกได้น่ากลัวที่สุดทีมหนึ่งไปแล้ว ผู้เล่นแทบทุกตำแหน่งล้วนแล้วต่างก็มีเทคนิคเชิงสูง มีความคล่องตัว จี๊ดจ๊าด อันตรายรอบด้าน และที่สำคัญคือไม่ใช่แค่เพียงผู้เล่นในตำแหน่งแนวรุกเท่านั้นที่มีบทบาทกับการเดินเกมหรือสร้างสรรค์โอกาส แต่ยังเหมารวมไปถึงกองหลังด้วย อิตาลี กดไปทั้งหมด 12 ประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ เป็นรองแค่ สเปน ทีมเดียว เฉลี่ยแล้วยิงได้ 2 ประตูต่อนัด โดยในจำนวนดังกล่าวมีผู้เล่นถึง 5 คนที่ทำได้คนละ 2 ประตู ไล่ตั้งแต่ ชิโร่ อิมโมบิเล่, ลอเรนโซ่ อินซินเญ่, มานูเอล โลคาเตลลี่, เฟเดริโก้ เคียซ่า และ มัตเตโอ เปสซิน่า ถึงสถิติการพังประตูจะเป็น นัมเบอร์ ทู แต่หารู้ไม่ว่าตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ อิตาลี คือทีมที่มีโอกาสยิงมากที่สุดที่ 108 ครั้ง  ส่วนเรื่องการสร้างสรรค์โอกาสของ อิตาลี ทั้งหมด 98 ครั้ง ส่วนใหญ่จะขึ้นเกมทางริมเส้นเป็นหลัก โดยแบ่งเป็นทางซ้าย 42 เปอร์เซนต์ ทางขวา 33 เปอร์เซนต์ แต่ก็ใช่ว่าตรงกลางจะไม่มีบทบาทเลย เพราะตัวเลข 25 เปอร์เซนต์ที่ทาง สกาย สปอร์ต เปิดเผยมานั้นรูปแบบการเข้าทำจากพื้นที่ดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากการจ่ายบอลตัดแนวรับและการวางบอลยาวอันแม่นยำเป็นส่วนใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นทีมที่อันตรายและน่ากลัวทุกจุดจริงๆ 

เพรสซิ่ง & บอลไว

อีกสิ่งหนึ่งที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ ยัดเข้าไปในก๊วน "อัซซูรี่" ชุดนี้ก็คือสไตล์การเล่นเพรสซิ่งหนัก เพื่อกดดันบีบให้คู่แข่งจำเป็นต้องออกบอลไวเพื่อเพิ่มโอกาสในการเสียบอล และขอบอกเลยว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีมากๆ จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งไปแล้ว พร้อมกับอาศัยจังหวะการเล่นเกมสวนกลับซึ่งก็ทำได้น่ากลัวมากๆ ผู้เล่นตรงแผงมิดฟิลด์ไม่ว่าจะเป็น มาร์โก แวร์รัตติ, จอร์จินโญ่ และอีกหลายๆ คนต่างก็มีสถิติที่ดีในการตัดเกมคู่แข่ง และอาศัยจังหวะเฉพาะตัวในการเปลี่ยนจังหวะรับเป็นรุก สิ่งหนึ่งที่เราเห็นจาก อิตาลี ในทัวร์นาเมนต์นี้ก็คือการเล่น "ฟาสต์ บอล" หรือ การออกบอลไวยามเกมหยุด มีหลายๆ จังหวะที่ผู้ตัดสินเป่าหยุดเกม และพวกเขาอาศัยช็อตที่คู่แข่งกำลังเหม่อหรือไม่ก็เผลอเพื่อทำการโจมตี และมันก็ได้ผลที่ค่อนข้างดีด้วยโดยอาศัยพวกตัวเปิดบอลหรือวางบอลแม่นๆ แปปๆ บอลก็ไปอยู่ในกรอบเขตโทษของศัตรูแล้ว สำหรับ จอร์จินโญ่ อาจจะฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ กับ เชลซี แต่สำหรับการเล่นให้ อิตาลี ตลอดช่วงที่ผ่านมาขอบอกเลยว่าท็อปฟอร์มสุดๆ โดยสถิติในทัวร์นาเมนต์นี้พี่แกคือแข้ง อิตาลี ที่เรียกฟาวล์ให้ทีมได้มากที่สุดที่ 15 ครั้ง แถมยังมีสถิติการตัดบอลคู่แข่งมากที่สุดถึง 21 ครั้งด้วย ส่วน มาร์โก แวร์รัตติ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ จะชื่นชอบและโปรดปรานเขามากที่สุด เพราะนี่คือจอมเทคนิค ครองบอลได้มากที่สุด มีการสร้างสรรค์โอกาสมากที่สุดที่ 12 ครั้ง เช่นเดียวกับเรื่องการผ่านบอลสำเร็จก็อยู่ในระดับเบอร์ต้นๆ เหมือนกัน การมีสองคนนี้รวมถึง นิโกโล่ บาเรลล่า อีกคน มันทำให้ อิตาลี กลายเป็นทีมที่มีแผงมิดฟิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่งในทัวร์นาเมนต์นี้เลย   ยูโร ทีมไกด์ : อิตาลีของโรแบร์โต้ มันชินี่ ทีมที่เรียกศรัทธากลับมาได้แล้ว -

จุดอ่อน

แพ้ทางพวกตัวคล่อง ๆ 

อิตาลี มีแนวรับที่แข็งแกร่ง คู่เซนเตอร์ ทั้ง คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ สามารถรับมือกองหน้าคู่แข่งได้อย่างดีเยี่ยม จากที่แสดงให้เห็นตลอดที่ผ่านมา อย่างเช่นการรับมือ โรเมลู ลูกากู เป็นต้น แต่ว่าในเกมที่แล้ว พวกเขาก็เผยจุดอ่อนมาให้เห็นเหมือนกันในเกมที่พบกับ ทีมชาติสเปน เพราะว่าพอเจอ สเปน เล่นในระบบ ฟอลส์ไนน์ ที่ไม่มีหน้าเป้า มีแต่ตัวคล่อง ๆ ก็ไปไม่เป็นเช่นเดียวกัน  ในเกมดังกล่าว อิตาลี นั้นโดน สเปน บุกใส่และสร้างโอกาสได้อย่างต่อเนื่อง จากการโดนเล่นงานจากทั้ง แฟร์ราน ตอร์เรส , ดานี่ โอลโม่ หรือจะเป็น มิเกล โอยาร์ซาบัล ดังนั้น มันจึงเป็นการเผยจุดอ่อนของทีม “อัซซูรี่” และที่อันตรายก็คือพวกอังกฤษนั้นมีพวกตัวคล่อง ๆ เยอะซะด้วย นั่นล่ะครับ อาจจะเป็นจุดตายของ อิตาลี ที่แข็งแกร่งได้เช่นเดียวกัน

เพรสซิ่งพลาด

อย่างที่ทราบกันไปว่า อิตาลี ชุดนี้เน้นการเล่นเพรสซิ่งเพื่อกดดันคู่แข่งเป็นหลัก จริงอยู่ที่ข้อดีของมันก็คือการบีบให้คู่แข่งเสียบอลได้ง่าย แต่ในทางกลับกันถ้าเกิดว่าคุณเพรสซิ่งได้ไม่ดี หรือเจอกับทีมที่วางแผนรับมือกับมันมาเป็นอย่างดีมันก็มีโอกาสที่ผู้เล่นของคุณจะเสียพื้นที่และโดนสวนกลับเอาเองได้ เหมือนกับเกมที่เจอกับ สเปน เป็นต้น ดูแล้วในเกมนัดชิงครั้งนี้ อังกฤษ เองก็น่าจะรู้ทางและศึกษาวิธีรับมือกับ อิตาลี มาเป็นอย่างดี ถ้าลูกทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เจอจุดบอดตรงนี้เมื่อไหร่ก็ถือว่ามีโอกาสโดนเล่นงานได้เหมือนกัน เพราะอย่าลืมนะว่าผู้เล่น อังกฤษ ชุดนี้ก็มีตัวจี๊ดๆ และฝีเท้าอันตรายหลายคนไม่ว่าจะเป็นพวก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, แจ็ค กรีลิช, จาดอน ซานโช่ หรือแม้แต่ บูกาโย่ ซาก้า ก็ด้วยเหมือนกัน

เวมบลีย์

ที่พูดมาข้างต้นนั้นเราแทบจะไม่เห็นจุดบอดของ อิตาลี เลย ถ้าพูดถึงเกมที่จะเจอกับ อังกฤษ เรื่องเฮดทูเฮดที่ผ่านมาก็ค่อนข้างข่มด้วย เพราะที่ผ่านมาการเจอกับ อังกฤษ ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ อิตาลี ไม่เคยแพ้เลย ไล่ตั้งแต่ ชนะ 1-0 ใน ยูโร ปี 1980, ชนะ 2-1 ทั้งใน ฟุตบอลโลก ปี 1990 และ 1994 และก็ชนะยังจุดโทษใน ยูโร ปี 2012 ด้วย (เสมอในเวลา 1-1) แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาดูเป็นรอง อังกฤษ ในเกมนัดชิงชนะเลิศ วันอาทิตย์นี้นั่นก็คือการเตะบนสังเวียน เวมบลี่ย์ ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทัพ "สิงโตคำราม" นั่นเอง แถมทางฝั่งเจ้าบ้านก็มีสถิติที่ดีด้วยในการลงเล่นบนสังเวียนแห่งนี้กับการชนะ 15 จาก 17 เกมหลังสุด ที่เหลือคือ เสมอ 1 แพ้ 1 ยิงได้ 46 ประตู และเสียแค่ 5 ประตูเท่านั้น และที่สำคัญคือ อังกฤษ ไม่แพ้ใครที่สนามแห่งนี้มา 12 เกมติดต่อกันแล้ว

HaMu Dos Santos

วิเคราะห์เจาะลึก ! จุดแข็ง-จุดอ่อน ของ ทีมชาติอิตาลี ใน ยูโร 2020

logoline