logo-heading

ตลอดช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นที่ทีมถูกพูดถึงมากที่สุดในแง่ต่างๆ ตั้งแต่ได้ โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามากุมบังเหียน แต่ส่วนใหญ่จะหนักไปในทิศทางลบก็ตามมากกว่า ทั้งเรื่องของสไตล์การเล่นและแท็คติก ถึงแม้จะสามารถหยิบแชมป์ไปบ้างแล้วทั้ง ลีก คัพ และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก

อย่างไรก็ตามถ้าไปเจาะลึกดูดีๆ แล้วจะเห็นได้ว่าตั้งแต่หมดยุคบัลลังก์ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผลัดเปลี่ยนมาเป็น เดวิด มอยส์ หรือ หลุยส์ ฟาน กัล ยุคของ มูรินโญ่ นี่แหละคือยุคที่ดีที่สุด และมีสัญญาณของการพัฒนาและก้าวไปข้างหน้ามากที่สุด ถึงแม้จะยังดูห่างไกลจากแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ตาม ซึ่งมันมีสัญญาณอะไรบ้างเดี๋ยวเราไปว่ากันเลย 1.จบอันดับสูงที่สุดตั้งแต่ยุค เฟอร์กี้ ฤดูกาล 2013-14 เดวิด มอยส์ กุนซือ เดอะ จีเนียส ค่อนข้างมีผลงานที่ผิดหวังสุดๆ กับการพา แมนฯ ยูไนเต็ด จบต่ำถึงอันดับ 7 ในตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก พวกเขาแพ้ไปถึง 12 เกม และปีนั้นจบอันดับต่ำกว่า เอฟเวอร์ตัน ทีมเก่าของตัวเองเสียอีก พอถัดมาถึงยุคของ หลุยส์ ฟาน กัล อะไรๆ มันดีขึ้นจริงกับการจบอันดับ 4 และ 5 และยังได้สิทธิ์กลับไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย อย่างไรก็ตามตั้งแต่ มูรินโญ่ เข้ามาปีแรกอาจจะดูล้มเหลวจากความคาดหวังที่ถูกตั้งเอาไว้ เพราะ "ปีศาจแดง" จบได้แค่อันดับ 6 แต่ยังดีที่มีแชมป์ ยูโรปา ลีก มากู้หน้า พอถึงปีนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะยังไปไม่ไกลถึงการเถลิงบัลลงก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก และมีแต้มห่างจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจ้าของแชมป์ในปีนี้เกินกว่า 10 แต้ม แต่ถึงกระนั้นมันก็การันตีได้ว่าพวกเขาจะได้ตำแหน่งอันดับ 2 ไม่ก็ตาม 3 แน่นอน ซึ่งจะถือเป็นสถิติจบอันดับสูงที่สุดตั้งแต่หมดยุด เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 2.จำนวนแต้มในฤดูกาลนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถเก็บได้เกินกว่า 70 คะแนนในปีนี้ และนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่หมดยุคของ "ป๋าเฟอร์กี้" แถมยังเหลือเกมอีกตั้ง 4 นัดก่อนปิดซีซั่น ซึ่ง 3 ฤดูกาลก่อนจะมาถึงยุคของ มูรินโญ่ แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บได้ 64, 70 และ 66 แต้มตามลำดับ ส่วนฤดูกาลแรกของ มูรินโญ่ เขาพาทีมเก็บได้ 69 คะแนน แต่มาถึงฤดูกาลนี้และ ณ เวลานี้ แมนฯ ยูไนเต็ด มี 74 คะแนนและยังมีคิวให้เตะอีก 4 นัด ดังนั้นพวกเขามีโอกาสที่จะทำแต้มทะลุเกิน 80 คะแนน 3.ปาฏิหาริย์การคัมแบ็กและโกงความตาย ถ้าพูดถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สิ่งที่ดูเป็นปรากฏการณ์และทุกๆ คนนั้นทราบกันดีก็คือ 'การโกงความตาย' นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นยุคของ เดวิด มอยส์ หรือ หลยุส์ ฟาน กัล เวลาที่ทีมเป็นฝ่ายตามหลัง เราแทบจะไม่เห็นการกลับมาขโมยซีนได้เลย แต่ในฤดูกาลนี้ มูรินโญ่ ได้ทำให้แฟนๆ รู้สึกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีกลิ่นอายของยุค "ป๋าเฟอร์กี้" ลอยมาเลย ไม่ว่าจะเป็นการเจอกับ เบิร์นลี่ย์ ที่เสมอ 2-2 (โดนนำก่อน 2-0), ชนะ เชลซี 2-1 (โดนนำก่อน 1-0), ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-2 (โดนนำก่อน 2-0) ตลอดจนเกม เอฟเอ คัพ กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ชนะ 2-1 (โดนนำก่อน 1-0) 4.จำนวนการยิงประตูและเสียประตู โชเซ่ มูรินโญ่ ถูกวิจารณ์มากมายเรื่องของแท็คติกที่เกมรุกไม่ค่อยเร้าใจเหมือนตอนยุค เฟอร์กูสัน และก็ไปเน้นแต่เกมรับเป็นหลัก แต่นั่นก็เหมือนเป็นกุญแจความสำเร็จที่เขาใช้มากับ ปอร์โต้, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน และ เรอัล มาดริด ในนิยามที่ว่า 'เกมรับที่แข็งแกร่งเหนียวแน่น คืออาวุธโจมตีศัตรูที่ร้ายแรงที่สุด' 4 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีจำนวนการยิงประตูใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ 64, 62, 49 และ 54 ตามลำดับ แต่ในฤดูกาล 2017-18 ณ เวลานี้มีจำนวนการยิงประตูอยู่ที่ 65 ประตู แถมยังมีเกมอีก 4 นัดให้ลงเตะ ส่วนเกมรับก็ดีขึ้นเช่นกัน เพราะ "ปีศาจแดง" เสียอย่างต่ำ 35 ประตูตลอด 3 ฤดกาลหลังสุดก่อน มูรินโญ่ จะย้ายมา โดยพวกเขาเสีย 29 ประตูเท่านั้นเมื่อปีก่อน และตอนนี้เสียไปแค่ 26 ประตู 5.ชัยชนะในการเจอทีมหัวตารางด้วยกัน ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาสถิติของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการเจอกับทีมหัวแถวด้วยกันมักหนักไปในทิศทางที่ย่ำแย่ พวกเขาเก็บชัยชนะแทบไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาหรือตั้งแต่เข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2018 เรื่องราวเหล่านั้นมันก็ได้เปลี่ยนไป เพราะพวกเขาเอาชนะได้ทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส ยิงประตูได้เยอะ เกมรับเสียประตูยาก แถมมีรูปเกมที่ดูดีเลยทีเดียว  

-HaMuDosSantos-

logoline