logo-heading

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คือหนึ่งในกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ลูกหนัง โดยเริ่มต้นความยิ่งใหญ่จาก บาร์เซโลน่า ไปสานต่อที่ บาเยิร์น มิวนิค และ กำลังพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ครองมหาอำนาจบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 

แว่วๆมาว่าสถานีต่อไปของ เป๊ป ถ้าย้ายออกจาก เรือใบสีฟ้า คืออยากหันไปลิ้มรสการเป็นกุนซือทีมชาติ หลังจากที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ถึงความฝันที่อยากจะทำเป็นสิ่งต่อไป แต่การโยกย้ายไปกุมบังเหียนทีมชาติ มันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง

ย้อนกลับไปก่อนช่วงที่ ฟีฟ่า เดย์ จะเริ่มขึ้น เขาได้เปิดใจถึงอนาคตตัวเอง ระหว่างร่วมกิจกรรมสัมมนาผ่าน แอพพลิเคชั่น "ZOOM" ว่าถ้าหมดสัญญาคุมทีมหลังจบฤดูกาล 2022-23 จะคิดทำอะไรต่อไป และ คำตอบ เป๊ป ก็สร้างความฮือฮาเช่นกัน "หลังสิ้นสุดระยะเวลา 7 ปีกับสโมสรแห่งนี้ ผมคิดว่าตัวเองอาจใช้เวลาพักผ่อนสักระยะหนึ่ง จากนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขยับไปคุมทีมชาติดู ผมอยากคุมทีมแข่งขันในฟุตบอลยูโร, โคปา อเมริกา หรือ ฟุตบอลโลก" นั่นหมายความว่า เป๊ป มีความตั้งใจไว้แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นทีมชาติอะไร บางที สเปน อาจจะเป็นตัวเต็ง เรียกว่าบทสัมภาษณ์แค่นี้ ก็ทำให้สมาคมฟุตบอลยักษ์ใหญ่แต่ละประเทศ คงรู้สึกตื่นตัวอยู่ไม่น้อย เพราะโปรไฟล์ระดับ เป๊ป ใครๆก็อยากได้ตัวมากุมบังเหียนทั้งนั้น สมัยก่อน ยุคหนึ่งของฟุตบอล จะมียอดผู้จัดการทีม กระจายตัวอย่างเท่าเทียม ทั้งการคุมสโมสร และ ทีมชาติ แต่สมัยนี้ เหล่าเฮดโค้ชชื่อดังมากระจุกตัวกันอยู่ในระดับสโมสรมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, เจอร์เก้น คล็อปป์, โธมัส ทูเคิ่ล, คาร์โล อันเชล็อตติ หรือ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นต้น ส่วนในระดับทีมชาติ เอาแค่ ยูโร 2020 จะมีเพียง หลุยส์ เอ็นริเก้ กุนซือทีมชาติสเปน เท่านั้น ที่มีโปรไฟล์เคยเป็นโค้ชที่คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครอง หรือ โรแบร์โต้ มันชินี่ เฮดโค้ชทีมชาติอิตาลี ที่มีดีกรีเป็นนำ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ขณะที่เทรนเนอร์คนอื่นๆ ที่มีดีกรีระดับสโมสร ก็คงจะเป็น ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ส่วนคนอื่นๆแทบไม่มีอะไรที่เป็นระดับป็อปปูล่า ฉะนั้น ถ้า เป๊ป ไปคุมทีมชาติ คงรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เพราะในระดับสโมสร กุนซือสไตล์ ติกิ-ตาก้า คว้าแชมป์รายการระดับเมเจอร์ใหญ่ๆมาครบหมดแล้ว ความท้าทายก็อาจจะหมดลง ซึ่งการเป็นแชมป์ทวีป หรือ ฟุตบอลโลก มันอาจดึงดูดความสนใจให้กับเขามากเลยทีเดียว ด้วยสไตล์ฝีมือของ เป๊ป ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงมาก แต่ก็มีเหตุผลหลายอย่างมาหักล้างว่า บางที เป๊ป อาจจะล้มเหลวในสายกุนซือทีมชาติ ก็เป็นได้ โดยเฉพาะความเป็น เพอร์เฟคชั่นนิส หรือ ผู้เสพติดความสมบูรณ์แบบ ทั้งแท็คติคการเล่นที่ซับซ้อน, ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ  และ คอยจับจ้องเรื่องความผิดพลาดอยู่ตลอด ซึ่งหากเป็นระดับสโมสร เขามีเวลาแก้ไขทั้งฤดูกาล พัฒนาแบบนัดต่อนัด แต่กับทีมชาติ เป๊ป จะมีระยะเวลาเพียงน้อยนิด ในการปรับจูนทีม และ สร้างทีมที่ดีที่สุดขึ้นมาได้หรือไม่ ? เพราะเมื่อหมด ฟีฟ่า เดย์ ก็ต้องปล่อยนักเตะคืนสู่สโมสร โดยหากเป็นโปรแกรมทีมชาติ นักเตะจะได้มารวมตัว อยู่ประมาณ 4 ครั้ง ต่อซีซั่น เริ่มจากเดือนกันยายน / ตุลาคม / พฤศจิกายน และ อีกครั้งคือราวๆเดือน มีนาคม ซึ่งมีเวลาเพียงน้อยนิดในการหลอมรวมปรัชญา กว่าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างยาวนาน ก็ต้องรอให้ถึงทัวร์นาเมนต์ใหญ่เท่านั้น ยกตัวอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน อดีตปีกตัวจี๊ด บาเยิร์น มิวนิค เคยย้อนรำลึกถึงความบ้าฟุตบอลของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ว่า "เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นพวกบ้าฟุตบอลเข้าเส้น เขาหมกมุ่นอยู่กับมันทั้งวัน มีครั้งหนึ่งเขาโทรมาหาผมตอนตี 2 เพื่อติวแท็คติค" ดังนั้นคนที่หมกมุ่นอยู่กับแท็คติคแบบแทบไมได้หลับไม่ได้นอน อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็อาจจะควบคุมเรื่องการซึมซับปรัชญาและการติวแท็คติคสู่ DNA นักเตะ ได้ยากมากกว่าเดิม ที่สำคัญ เป๊ป จะต้องพึ่งพากุนซือของสโมสรนั้นๆมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ เพราะเขาจะไม่สามารถควบคุมฟอร์มการเล่นของนักเตะได้แล้ว ไม่สามารถปลุกปั้นเหมือนที่เคยทำให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ยิงกระจายบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ใครโดนดรอป ก็ต้องยอมปล่อยไปตามนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นความคาดเดา และ วัดจากสไตล์การทำทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งคุณก็สามารถโต้แย้งได้ว่า โปรไฟล์กุนซือรายนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากมายซึมซับปรัชญา อย่างที่บอกครับ เป๊ป เริ่มต้นความสำเร็จด้วยการพา บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย โดยยุคนั้นมีลูกทีมเป็นนักเตะที่เติบโตมาจาก รั้ว ลา มาเซีย ถึง 7 คน จาก 11 ผู้คนตัวจริง แต่เมื่อเขาย้ายมาคุมทีม บาเยิร์น ต่อมาก็ประสบความสำเร็จกับ แมนฯ ซิตี้ ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเขาใช้เงินมหาศาลในการสร้างทีม เพื่อคว้าแชมป์ ด้วยการสร้างมาตรฐานให้สูง อุดช่องโหว่ที่เป็นปัญหาต่างๆ อาทิ เควิน เดอ บรอยน์, ริยาด มาห์เรซ, เอแดร์ซอน โมราเอส หรือ รูเบน ดิอาส เป็นต้น แต่กระนั้น ถ้าหาก เป๊ป ย้ายมาลิ้มรสคุมทีมชาติ เขาจะไม่สามารถใช้เงินซื้อผู้เล่นตามต้องการ เพื่อทำให้ทีมแข็งแกร่งได้ โดยจะต้องสอดส่องดูผลงานว่านักเตะจากชาติที่ไปคุม ใครจะดีพอมาเติมเต็มให้กับทีมของเขา เพราะในนามทีมชาติ ก็จะมียอดนักเตะที่พร้อมจะเป็น เดอะ แบก แต่แน่นอนมันก็ต้องมีบางคน ที่อาจจะไม่เหมาะกับสไตล์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาที่เขาจะใช้ และ นักเตะที่เขาเลือกมา จะหลอมรวมให้เป็นฟุตบอลสไตล์ เป๊ป ได้ดีมากแค่ไหน การเป็นกุนซือระดับสโมสร มันก็วัดผลงานจากภาพรวมว่ามันเวิร์คหรือดีมากแค่ไหน แต่กับทีมชาติ มันจะมีความกดดันมากกว่า ทั้งๆที่มีเกมให้เล่นไม่ได้เยอะมากนัก ซึ่ง เป๊ป เอง ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีข้อผิดพลาดให้เห็นอยู่เช่นกัน  เป๊ป คือยอดโค้ชที่น่าเกรงขาม มีสถิติยอดเยี่ยม และ คว้าแชมป์มากมาย แต่กระนั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เขาถูกครหาว่าไม่สามารถซิวโทรฟี่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ ทั้งๆที่พยายามกับ เรือใบสีฟ้า มาแล้วหลายปี ถึงขั้นที่ถูกเย้ยหยันว่า "ไม่มี เมสซี่ ก็ไม่มีทางได้แชมป์ยุโรป" การเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หากปีนี้คุณไม่ได้ ปีหน้าคุณก็จะได้โอกาสแก้ตัว เหมือนอย่างที่ เป๊ป ทวงบัลลังค์แชมป์ คืนมาจาก ลิเวอร์พูล และ มันสามารถ ลบล้างความผิดหวังจากแชมป์ยุโรปไปได้อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม วัฏจักรแห่งทีมชาติ ทุกความผิดพลาดจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะถ้าคุณพ่ายแพ้ หรือ ตกรอบ จะต้องรอถึง 4 ปี เพื่อมาแก้มืออีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลโลก หรือ ยูโร ซึ่งไม่สามารถแก้ตัวได้แบบปีต่อปีเหมือนในนามสโมสร ดังนั้น หากในอนาคต เป๊ป เข้าสู่วงการทีมชาติอย่างเต็มตัว เขาจะโดนวิจารณ์แบบที่หลีกเลี่ยงไมได้ ถ้าหากไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์มาครอง เนื่องจากโปรไฟล์ระดับ เป๊ป ต้องแชมป์เท่านั้น

บางทีการเป็นกุนซือทีมชาติ มันก็มีความยากในตัว และ ความกดดันที่มากกว่า ซึ่งสไตล์และแท็คติคแบบฉบับ เพอร์เฟคชั่นนิส ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อาจไม่เหมาะกับการคุมทีมชาติก็เป็นได้

ฮาย ฮาวดี้

logoline