logo-heading

เป็นเกมคุณภาพระดับ 5 ดาว ของจริง สำหรับแมตช์ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบสุดมันส์ 2-2 โดย หงส์แดง ขึ้นนำถึง 2 ครั้งครา แต่ เรือใบสีฟ้า ก็โดนตามไล่ตีเจ๊าแบบดุเดือดทุกครั้ง นอกจากนี้ยังมีประเด็นดราม่าว่า เจมส์ มิลเนอร์ สมควรโดนไล่ออกจากสนามหรือไม่ เพราะเหตุการณ์นี้ทำเอา เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เดือดดาลสุดๆ

เอาเป็นว่าเกมนี้ มีอะไรต้องพูดถึงกันบ้าง ไปติดตามกันเลยครับ

- ครึ่งแรก หงส์แดง เป็นรองทุกกระบวนท่า

ต้องกราบเรียนตามตรงเลยว่า 45 นาทีแรก ลิเวอร์พูล ไม่เสียประตู ก็บุญหัวแล้วครับพี่น้อง เพราะรูปเกมเป็นรองทุกกระบวนท่า ไม่สามารถต่อกรกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เลย กองกลางเก็บบอลไม่ได้, กองหน้าจับบอลไม่อยู่ ผิดกับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่พับสนามบุก เล่นด้วยความมั่นใจ และ มีหลายสิ่งที่เหนือกว่าชัดเจน 
  1. ความสามารถเฉพาะตัวเหนือกว่า

ไม่ได้บอกว่าความสามารถนักเตะ หงส์แดง ไม่ดีนะครับ แต่ 45 นาทีแรก ต้องบอกว่า แมนฯ ซิตี้ ทำได้ดีกว่าเยอะ โดยเฉพาะ แบร์นาโด้ ซิลวา ปั่นป่วนฝั่งเจ้าบ้าน สร้างสรรค์โอกาส จนเพื่อนเกือบยิงประตูได้ หรือแม้กระทั่ง เจา กานเซโล่ ก็มีช็อตดึงหลอกกองหลัง ลิเวอร์พูล จนเสียเหลี่ยม จ่ายให้เพื่อนเข้ากรอบเขตโทษ โชคดีที่ยิงไม่เข้า คือนอกจากครองบอลเหนือกว่าแล้ว ความสามารถนี่แหละครับ ที่แข้ง เรือใบสีฟ้า ทำได้ดีกว่าจริงๆ แต่ครึ่งหลังเหมือน คล็อปป์ แก้เกมให้นักเตะ ลิเวอร์พูล มีสมาธิมากขึ้น กล้าจ่าย กล้าเล่น ทำให้ครึ่งหลังกลายเป็น หงส์แดง ที่เล่นง่านใส่แนวรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่หลายครั้ง เรียกว่าในสนามเป็นการสู้กันด้วยแท็คติคล้วนๆ
  1. เลือกเจาะแบ็กขวา หงส์แดง

จริงอยู่ว่า เจมส์ มิลเนอร์ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในตำแหน่งแบ็กขวา จากเกมถล่ม เอฟซี ปอร์โต้ 5-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่อย่าลืมว่า น้ามิลเนอร์ ก็อายุ 35 ปี เข้าไปแล้ว การต้องตามประกบแข้งพลังหนุ่มของ เรือใบสีฟ้า อย่าง ฟิล โฟเด้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะความเร็ว เหมือนเอาจักรยาน ปั่นไปสู้กับ มอเตอร์ไซค์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ แมนฯ ซิตี้ จะเลือกเจาะทางฝั่งขวา ลิเวอร์พูล เดี๋ยว แบร์นาร์โด้ ก็มา เดี๋ยว โฟร์เด้น ก็กระชาก เรียกว่าขวาผ่านตลอด ยังดีที่จังหวะจบสกอร์ของ เรือใบสีฟ้า ยังไม่ค่อยคมมากนัก โดยช็อตวางบอลยาวจากเขตโทษของ เอแดร์ซอน ข้ามหัว มิลเนอร์ ไปถึง โฟเด้น ยังดีที่มี อลิสซอน ช่วยชีวิตเอาไว้ ครึ่งหลัง จากลูกที่ ลิเวอร์พูล โดนตีเสมอ 1-1 ก็จะเห็นว่า มิลเนอร์ ทิ้งตัวประกบอย่าง โฟเด้น ค่อนข้างห่าง และ หลังจากถูกเล่นงานอยู่นาน ก็มีช่องให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิงตีเสมอจนได้ ซึ่งก็เป็นฝีเท้าของ โฟเด้น ที่ซัดไปอย่างเฉียบคม

- ประเด็นใบเหลืองสอง ของ มิลเนอร์ 

กลายเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ เลยล่ะครับ สำหรับจังหวะที่ เจมส์ มิลเนอร์ แหย่ขาไปสกัดตัดเกม แบร์นาร์โด้ ซิลวา ว่ามันสมควรจะเป็นใบเหลืองที่ 2 เป็นใบแดงไล่ มิลเนอร์ ออกหรือไม่ เพราะผู้ตัดสินกลับปล่อยผ่าน ไม่มีบทลงโทษใดๆทั้งสิ้น แต่ที่แน่ๆ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึงขั้นระเบิดอารมณ์วีนแตกใส่ผู้ตัดสิน หันไปโวยวายแบบบ้าคลั่ง ต่อล้อต่อเถียงกับสาวก เดอะ ค็อป จนความเดือดดาลพลุ่งพล่านเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะ เป๊ป มองว่า ยังไงจังหวะนี้ มิลเนอร์ ควรโดนไล่ออกสถานเดียวเท่านั้น จากประเด็นนี้ ทำให้เสียงแตกเป็น 2 ฝ่ายว่า มิลเนอร์ ควรโดนใบเหลืองที่ 2 เป็นใบแดงหรือไม่ ฝั่งหนึ่งมองว่ายังไงก็ต้องไล่ออก ขัดขาตัดเกมขนาดนั้น อีกฝั่งหนึ่งก็อธิบายว่า ผู้ตัดสินอาจมอง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไปกระแทกใส่ แบร์นาร์โด้ จนเสียหลักก่อน ทำให้สิงห์เชิ๊ตดำ จึงเลือกที่จะไม่แจกใบเหลือง 2 กับ มิลเนอร์  อย่างไรก็ตาม เป๊ป ยืนยันว่ายังไงก็ต้องไล่ออก ซึ่งหลังจบเกมเขาให้สัมภาษณ์แบบดุเดือดว่า "มิลเนอร์ ต้องเหลืองสอง มันต้องเป็นเหลือง ยังไงก็ต้องเป็นเหลืองสองแน่นอน เพราะทุกอย่างชัดเจนมาก แต่ที่นี่คือแอนฟิลด์ บางครั้งก็ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ลองเปลี่ยนสถานการณ์นี้เป็น แมนฯ ซิตี้ ดูซิ นักเตะเราคงโดนไล่ออกไปแล้ว"

- การจบสกอร์ของ แมนฯ ซิตี้

เป็นสิ่งที่พูดกันมาตลอด และ มันจะพูดถึงต่อไป หากเกิดเหตุการณ์ที่ แมนฯ ซิตี้ ยิงทิ้งยิงขว้าง เพราะพวกเขาต้องเล่นแบบไม่มีหน้าเป้าอาชีพ เพราะถึงแม้ กาเบรียล เชซุส จะได้ลงเล่นเป็นตัวจริง แต่ก็ถูกโยกออกไปเล่นด้านข้างมากกว่า ในครึ่งแรก จากรูปเกมที่ แมนฯ ซิตี้ บุกกดใส่ หงส์แดง อยู่ฝ่ายเดียว พวกเขาควรได้ประตูขึ้นนำ มีโอกาสหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษหลายครั้ง พร้อมกับโอกาสง้างเท้ายิงถึง 7 ครั้ง แต่ก็หลุดกรอบ, ติดเซฟ อลิสซอส และ ติดบล็อคแนวรับ ลิเวอร์พูล จริงอยู่ที่ แมนฯ ซิตี้ ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำ ในช่วงที่ผ่านๆมา แต่กระนั้นเวลาเป็นเกมใหญ่ๆ เจอกับทีมหัวตาราง โอกาสอาจไม่ได้มีเยอะมากนัก บางทีโอกาสแค่กี่ไม่ครั้ง มันอาจตัดสินเกมเลยก็ว่าได้ ซึ่งการยิง 2 ประตูของ เรือใบสีฟ้า ก็สมเหตุสมผล เพราะแนวรุกสร้างสรรค์เกมได้น่ากลัวมาก โดยเฉพาะการวางบอลของ เควิน เดอ บรอยน์ แม่นเหมือนจับวาง แต่ในเมื่อไม่มีหน้าเป้าอาชีพ พวกเขาต้องพิถีพิถันเพิ่มความเฉียบคมมากกว่านี้ พวกเขาจะดูเก่งกาจมากกว่าที่เป็นอยู่

- ความสุดยอดของ โม ซาลาห์

ครึ่งแรก โม ซาลาห์ แทบไม่มีส่วนร่วมกับเกมเลย แต่นักเตะระดับโลกขอโอกาสไม่กี่ครั้ง ก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบไปได้เลย ซึ่ง บังโม แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นเป็นขวัญตาในช่วงครึ่งหลัง เพราะเขามีส่วนร่วมกับ 2 ประตู ของ ลิเวอร์พูล ทั้งแอสซิสต์ และ ใช้ความสามารถล็อคหลบกองหลัง แมนฯ ซิตี้ เข้าไปซัดเบียดเสาอย่างเฉียบคม แน่นอนเครดิตต้องให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เพราะไปแก้เกมให้แนวรุก หงส์แดง ต้องมีส่วนร่วมมากขึ้น และ ผลงานของ ซาลาห์ แสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล จะขาดเขาไปไม่ได้เลย ไม่มีเมื่อไหน ขาดใจเมื่อนั้น ยิ่งฤดูกาลนี้ยิ่งตอกย้ำว่าสำคัญกับทีมมากเพียงใด โดยตลอด 7 เกม ตั้งแต่ออกสตาร์ทซีซั่น บังโม กดไปแล้ว 6 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ มีส่วนร่วมถึง 9 ลูก เยอะสุดมากกว่าใครในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ  ดังนั้นคำถามที่ว่า ลิเวอร์พูล ควรต่อสัญญากับ ซาลาห์ หรือไม่ คำตอบมันก็มีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ถ้าหากนักเตะยังแฮปปี้ ยังมีความปรารถนาคว้าแชมป์ในถิ่นแอนฟิลด์ ก็ไม่มีอะไรต้องคิดมากในการมอบสัญญาฉบับใหม่

- ภาพสวมกอด คล็อปป์-เป๊ป แสดงความนับถือซึ่งกันและมัน

นี่คือเกมระดับ 5 ดาว และ คงจะต้องติดอยู่ในลิสต์แมตช์สุดมันส์แห่งซีซั่น เรียกว่ามาเต็มครบทุกอรรถรส ทั้งแท็คติค, การแก้เกม, การแลกหมัดเกมรุก, ดราม่า และ ความดุเดือดข้างสนาม โดยเฉพาะอารมณ์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ไม่พอใจอย่างยิ่งกับการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน แต่ภาพหลังสิ้นเสียงนกหวีด คือภาพประทับใจมากจริงๆครับ ในตอนที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เดินไปจับมือและสวมกอด เจอร์เก้น คล็อปป์ ด้วยสีหน้าให้ความเคารพและการยกย่องซึ่งกันและกัน ต่อให้จะมีเหตุการณ์ไม่พอใจในนัดนี้ก็ตาม  มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงสปิริตความมีน้ำใจนักกีฬา และ ได้เห็นกึ๋นของ 2 สุดยอดกุนซือ ที่เอาแท็คติคมาสู้กันล้วนๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ทั้งคู่ถึงยกยอกันไปมา โดยจากผลเสมอในนัดนี้ ทำให้สถิติทั้ง 2 คน เจอกันมาแล้ว 18 ครั้ง เป๊ป ชนะไป 7 คล็อปป์ ชนะไป 8 และ เสมอกัน 3 ครั้ง นับว่าสูสีกันสุดๆ

ฮาย ฮาวดี้-

logoline