logo-heading

โหมโรงกันสักหน่อยสำหรับศึก เอล กลาซิโก้ เลกแรกของซีซั่น 2021-22 ระหว่าง 2 คู่อริตลอดกาลนั่นก็คือ บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด วันนี้มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจกันบ้างไปติดตามคอนเทนต์จากทาง ขอบสนาม ได้เลยครับ !

เอล กลาซิโก้ ครั้งที่ 247

Real Madrid vs Barcelona, 2021 El Clasico: Predicted lineups - Managing  Madrid ณ สังเวียน คัมป์ นู ในค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม นี้ การประชันหน้ากันระหว่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด หรือที่เรารู้จักกันดีในแมตช์หยุดโลกที่เรียกว่า "เอล กลาซิโก้" ครั้งนี้จะเป็นการดวลกันครั้งที่ 247 ในแมตช์อย่างเป็นทางการ (ประกอบไปด้วยศึก ลา ลีกา, โกปา เดล เรย์, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ซูเปอร์ โกปา เด เอสปันญ่า)  โดยเฮดทูเฮดการพบกันก่อนหน้านี้ 246 บาร์เซโลน่า เป็นฝ่ายเอาชนะได้ 96 นัด เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายเอาชนะได้ 98 นัด และเสมอกันไป 52 นัด แต่ถ้าเกิดนับรวมเกมอุ่นเครื่องต่างๆ หรือเกมปรีซีซั่นไปด้วยนี่จะถือเป็นการพบกันครั้งที่ 280 ระหว่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ซึ่ง 279 นัดก่อนหน้านี้ บาร์เซโลน่า ชนะ 115 นัด เรอัล มาดริด ชนะ 102 นัด และมี 62 นัดที่จบลงด้วยผลเสมอกัน

นับ 1 ในยุคที่ไม่มี เมสซี่

Messi's 10 El Clásico goals at the Camp Nou การจากไปของ ลิโอเนล เมสซี่ ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อ บาร์เซโลน่า แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในมุมของแมตช์ระดับโลกที่ชื่อว่า เอล กลาซิโก้ ก็ส่งผลหนักไม่แพ้กันในเรื่องของเรทติ้งความสนใจจากผู้คน ตอนที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตัดสินใจเก็บข้าวของไปจาก เรอัล มาดริด ก็ชวนให้รู้สึกวังเวง ใจหวิวๆ ไปแล้วรอบหนึ่ง ไม่มีใครที่สามารถก้าวขึ้นมาท้าไฝว้กับ เมสซี่ และชวนให้รู้สึกตื่นเต้นอีกต่อไปแล้ว พอคราวนี้มาถึงตา เมสซี่ ต้องไปบ้าง มันก็ทำให้เกมการแข่งขันระดับโลกแบบนี้ไม่มีนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกอีกต่อไปซึ่งในเรื่องของความรู้สึกมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเกม ดาร์บี้ แมตช์ ทั่วๆ ไปและก็ไม่ได้ถูกพูดถึงกันมากนัก เท่ากับนี่จะเป็นการนับ 1 อย่างเป็นทางการเมื่อศึก เอล กลาซิโก้ จะไม่มีสุดยอดนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ อีกต่อไป โดยในอดีตที่ผ่านมาผู้ชายคนนี้ได้สร้างปรากฏการณ์เอาไว้มากมายบนแมตช์การแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดบนหน้าประวัติศาสตร์ที่ 26 ประตู แถมผู้เล่นที่ได้โอกาสก้าวขึ้นสังเวียน เอล กลาซิโก้ มากที่สุดที่ 45 นัดเทียบเท่ากับ เซร์คิโอ รามอส ตำนานกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่ของ เรอัล มาดริด ซึ่งตอนนี้ต่างก็ยุติแรงแค้นและกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง

เดปาย -vs- เบนเซม่า

Memphis vs Benzema: The 'war' in search of the goal in El Clasico เมื่อต้องสูญเสียนักเตะที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีมอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ คำถามก็คือ ณ ชั่วโมงนี้ใครคือคนที่เป็นความหวังเบอร์ 1 ของ บาร์เซโลน่า ? ถ้าจะพูดถึงเรื่องการพังประตู การสร้างสรรค์โอกาส หรือการมีสถานะเป็นหัวใจสำคัญของทีมแน่นอนว่าตอนนี้ก็คงไม่พ้น เมมฟิส เดปาย ถึงจะไม่มีประสบการณ์บนสังเวียน เอล กลาซิโก้ มาก่อน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของผลงานก็ถือว่าจับต้องได้เลย เขาคือผู้เล่นที่ฟอร์มที่ดีสุดคนหนึ่งของ บาร์เซโลน่า ในตอนนี้ ได้ลงเล่นใน ลา ลีกา ไปแล้ว 8 นัด ยิงได้ 4 ประตู บวกกับทำไปอีก 2 แอสซิสต์ มีสถิติการสร้างสรรค์โอกาสมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีก ที่ 15 ครั้ง มีโอกาสยิงตรงกรอบทั้งหมด 14 ครั้ง และเป็นโอกาสทองถึง 11 ครั้งด้วยกัน ส่วนทางฝั่งของ เรอัล มาดริด คนที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งของ เมมฟิส เดปาย ในการวัดความเฉียบคมในเกมนี้ก็คือ คาริม เบนเซม่า อย่างมิต้องสงสัย ต้องบอกเลยว่า เรอัล มาดริด น่าจะได้เปรียบกว่าในเรื่องนี้ เพราะตัวของ เบนเซม่า เองก็ผ่านประสบการณ์ในศึก เอล กลาซิโก้ มาไม่น้อย ได้ลงเล่นไปทั้งหมด 36 นัด ยิงได้ 10 ประตู สำหรับผลงานในลีกปีนี้ก็จัดว่ากำลังท็อปฟอร์มเลยกับการซัดไป 9 ประตู จากโอกาสยิงตรงกรอบทั้งหมด 16 ครั้ง นับเป็นโอกาสทอง 15 ครั้ง แถมยังกดไปอีก 7 แอสซิสต์ส่วนเรื่องของการสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมก็เป็น นัมเบอร์ วัน ของลีกกระทิง ณ เวลานี้ที่ 22 ครั้งด้วยกัน เดี๋ยวต้องมาดูกันว่า เมมฟิส เดปาย ซึ่งเป็นตัวแทนของ ลิโอเนล เมสซี่ กับ คาริม เบนเซม่า ที่ก้าวขึ้นมารับช่วงต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แบบเต็มตัว ใครกันจะเป็นผู้พาทีมรักของตัวเองสมหวังและกำชัยชนะได้ในค่ำคืนนี้ ?

อนาคตของ คูมัน

Koeman defends direct approach after Barca held by Granada โรนัลด์ คูมัน กำลังโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องการทำทีม บาร์เซโลน่า การมาของเขาเมื่อฤดูกาลที่แล้วจนถึงตอนนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย แต่ในทางกลับกันมันก็มีปัญหาอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะเรื่องของผลงานในสนามที่จับต้องไม่ค่อยได้ และไร้ความคงเส้นคงวา สามารถแพ้ได้ทุกทีมแมเกระทั่งทีมเล็ก ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตอนนี้จะมีข่าวลือหนาหูมากๆ ว่า ทางสโมสรกำลังมองหากุนซือคนใหม่มาแทนที่ ศึก เอล กลาซิโก้ ในค่ำคืนนี้จะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่า โรนัลด์ คูมัน จะได้โอกาสทำงานกับ บาร์เซโลน่า ต่อไปอีกนานแค่ไหน เพราะนี่คือศึกใหญ่นัดสำคัญซึ่งเป็นการฟาดแข้งกับคู่อริตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด โดยตัวของ คูมัน ได้นำลูกทีมลงทำศึกใหญ่ครั้งนี้มาแล้ว 2 นัดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ผลปรากฏว่า บาร์เซโลน่า เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทั้ง 2 นัดเหย้าเยือน ที่ คัมป์ นู โดนไป 3-1 ส่วนการบุกไปเยือนก็โดนซัดไปอีก 2-1 ถ้าคืนนี้แพ้อีกเป็นครั้งที่ 3 แน่นอนว่าท่านประธานอย่าง โจน ลาปอร์ต้า อยู่ไม่สุขแน่นอนส่วน คาร์โล อันเชล็อตติ ก่อนหน้านี้เจ้าตัวได้โอกาสคุมทีมลงสนามใน เอล กลาซิโก้ มา 5 ครั้ง แบ่งเป็นชนะ 2 แพ้ 3 นัดช่วงคุมทีมรอบแรกตอนปี 2013-15 ทว่าหนึ่งในนั้นมีเกมที่พา เรอัล มาดริด เชือด บาร์เซโลน่า และได้เถลิงบัลลังก์แชมป์ โกปา เดล เรย์ ปี 2014 แน่นอนว่าประสบการณ์ในเกมนัดสำคัญนี้ทาง "คาร์เล็ตโต้" มีมากกว่า และมีสถิติที่ดีกว่า

เจเนอเรชั่นใหม่

ในเกมวันอาทิตย์นี้นับเป็นครั้งแรกที่ศึก เอล กลาซิโก้ จะไม่มีชื่อของ ลิโอเนล เมสซี่ และ เซร์คิโอ รามอส ถ้าจะพูดถึงผู้เล่นที่เก๋าที่มีประสบการณ์โชกโชนในเกมบิ๊กแมตช์นัดนี้ก็จะมีพวก เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ที่ได้ลงเล่นไป 40 นัด ตามด้วย เคราร์ด ปิเก้ 37 นัด และ คาริม เบนเซม่า ที่ 36 นัดตามลำดับ เมื่อเหล่าบรรดาแข้งซีเนียร์เริ่มโรยราและทยอยจากไปทีละคนดังนั้นมันก็ถึงเวลาที่เหล่าแข้งเจเนอเรชั่นใหม่จะได้ก้าวขึ้นมาพิสูจน์ตัวเองบ้าง ถ้าเทียบกัน 2 ทีมตอนนี้ บาร์เซโลน่า คือทีมที่มีอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ใน ลา ลีกา ในปีนี้ที่ตัวเลข 26 ปีกับอีก 174 วัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะ บาร์ซ่า ในยุคของ โรนัลด์ คูมัน มีผู้เล่นถึง 8 คนที่เกิดขึ้นในยุคปี 2000 ส่วนทาง เรอัล มาดริด พวกเขาถูกจัดอยู่ในทีมที่มีอายุเฉลี่ยเยอะที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของลีกที่ 28 ปี กับอีก 20 วัน และก็มีผู้เล่น 6 คนที่เกิดในยุคปี 2000 ถ้านับตั้งแต่ฤดูกาล 2005-06 จนถึงตอนนี้มันจะมีปี 2010 ที่ "ราชันชุดขาว" ถูกจัดว่าเป็นทีมที่มีค่าอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดของลีกที่ 25 ปีกับอีก 72 วัน ซึ่งนั่นเป็นยุคของ มานูเอล เปเยกรินี่ อย่างไรก็ตามถ้าพูดถึงการให้โอกาสและผลักดันผลผลิตจากอคาเดมี่ของสโสรจนได้ดิบได้ดีทาง บาร์เซโลน่า ดูจะเป็นเหนือกว่าในตรงนี้อาทิเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลิโอเนล เมสซี่, ชาบี เอร์นานเดส และ อันเดรส อิเนียสต้า เป็นต้น ผิดกับทาง มาดริด ที่ส่วนใหญ่จะเน้นสร้างทีมด้วยการใช้เงินกระชากซุปตาร์จากต่างแดนมามากกว่า น่าเสียดายที่ในศึก เอล กลาซิโก้ ครั้งนี้ไอ้หนู เปดรี้ ที่กำลังเฉิดฉายสุดๆ กลับมีปัญหาอาการบาดเจ็บจะหมดสิทธิ์ลงสนามอย่างแน่นอน ส่วนไอหนู กาบี้ ที่เพิ่งแจ้งเกิดขึ้นมาในปีนี้ก็กำลังถูกจับตามองว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญและเป็นอนาคตของทีมได้ไหม ถ้ามวยคู่ใหญ่เป็นการดวลกันระหว่าง เมมฟิส เดปาย กับ คาริม เบนเซม่า มวยรุ่นเล็กก็น่าจะเป็นการวัดกันโดย อันซู ฟาติ แนวรุกดาวรุ่งที่เป็นผู้สืบทอดทายาทเสื้อเบอร์ 10 ต่อจาก ลิโอเนล เมสซี่ และ วินิซิอุส จูเนียร์ ที่ถึงอายุจะยังน้อย แต่ก็มีส่วนสำคัญกับความสำเร็จของ เรอัล มาดริด มาไม่น้อย และที่สำคัญคือเด็ก 2 คนนี้ต่างก็เคยมีชื่อบนสกอร์บอร์ดเป็นผู้ทำประตูในศึกใหญ่อย่าง เอล กลาซิโก้ มาแล้วด้วย โดยตัวของ ฟาติ เพิ่งทำประตูได้เมื่อฤดูกาลที่แล้วด้วยอายุ 17 ปี กับอีก 359 วัน ส่วน วินิซิอุส เคยทำได้ ตอนอายุ 19 ปีกับอีก 233 วัน สุดท้ายนี้ถึงแม้ศึก เอล กลาซิโก้ ระหว่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด อาจไม่ได้ดูดุเดือดเลือดพล่านเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง ยอมรับ และเดินหน้าต่อ ประวัติศาสตร์ใหม่ๆ สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ จริงๆ ถ้าคุณลองมองดูดีๆ เกมๆ นี้ก็มีอยู่หลายสิ่งที่น่าสนใจและน่าจับตามองอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน

HaMu Dos Santos

logoline