logo-heading

กดนาฬิกาจับเวลากันได้เลย เพราะอีกไม่นาน สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกองกลาง ลิเวอร์พูล กำลังจะผันตัวมารับบทบาทเป็นกุนซือใหญ่ครั้งแรกในชีวิต

ให้กับสโมสร กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ทีมชั้นนำในศึก สก็อตติช พรีเมียร์ชิพ ซีซั่นหน้า ภายหลังจากได้เรียนรู้งานโค้ช การวางระบบมาแล้วกับ ลิเวอร์พูล รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี

แน่นอน  "เดอะ ไลท์บลู" คงเห็นอะไรในตัวของ เจอร์ราร์ด ที่จะเข้ามาช่วยกอบกู้ให้ทีมกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง แต่มันยังต้องรอเวลาอีกหลายเดือน กว่าจะได้เห็นฝีมือการทำทีมของ "สตีวี่ จี" จริงๆจังๆ ฉะนั้น "ฟุตบอล เมเนเจอร์ 2018" เกมคุมทีมยอดฮิตที่เรียกติดปากคนไทยว่า "FM" ได้ลองเล่นสำรวจและคาดเดาว่า ตำนานแข้ง ลิเวอร์พูล จะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อมากุมบังเหียน เชิญติดตาม

การซื้อตัว ความท้าทายในงานการคุมทีมชุดใหญ่ครั้งแรกของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด คือการพยายามทำให้ทีม เรนเจอร์ส มีสไตล์การเล่นเป็นเหมือนตัวเองให้มากที่สุด ฉะนั้นการซื้อตัวถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ โดย "สตีวี่ จี" จะเก็บนักเตะตัวหลัก มากประสบการณ์ของทีมเอาไว้ และจะไปเซ็นสัญญานักเตะหน้าใหม่มาเสริมทัพ 3 คน แบบไร้ค่าตัว เพราะด้วยปัญหาการเงินของ เรนเจอร์ส แบ่ง 2 คน เป็นนักเตะเยาวชน - ซึ่ง 2 คนนี้ จะไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริงของทีมได้ตลอดทั้งซีซั่น ส่วนการเซ็นสัญญาลงสนามที่ดูเป็นหน้าเป็นตามากที่สุด คือการไปคว้าตัว โจลีออน เลสคอตต์ อดีตกองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ปัจจุบันยังไร้สังกัด เนื่องจากรู้ฝีเท้ากันดี สมัยเล่นร่วมกันในนามทีมชาติอังกฤษ แต่ทว่า เลสคอตต์ มีสถานะเป็นเหมือนตัวสำรอง จากนั้นเดือนมกราคม จะไปยืมตัว คอนสแตนตินอส มาฟโรปานอส มาร่วมทีมเพื่อช่วยแนวรับ สไตล์การเล่น สไตล์การเล่นของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ชวนให้นึกถึงฟุตบอลสมัยใหม่ มากกว่าจะเป็นการใช้ระบบยืนตามแบบแผนเหมือนสมัยที่เจ้าตัวยังคงวาดลวดลายให้กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งระบบ 5-3-2 นับเป็นระบบที่ลงตัวมากที่สุดของ "พี่เจิด" โดยเน้นจากวิงแบ็กทั้ง 2 ข้าง เพราะทำให้ทีม เรนเจอร์ส ของ เจอร์ราร์ด สามารถเปลี่ยนจากเกมรุกลงมาช่วยป้องกันเกมรับได้อย่างรวดเร็ว ส่วนนักเตะที่ เจอร์ราร์ด ชอบใช้กับระบบนี้ ประกอบด้วย  เวส โฟเดอริงแฮม ผู้รักษาประตู, รอสส์ แม็คโครรี่, ฟาบิโอ คาร์โดโซ่ และ บรูโน่ อัลเวส เป็น 3 เซ็นเตอร์แบ็ก ส่วน คอนสแตนตินอส มาฟโรปานอส รอสอดแทรก ขณะที่ วิงแบ็กทั้ง 2 ฝั่ง ยึดตำแหน่งนี้ยาวๆคือ เจมส์ ทาเวอร์เนียร์ และ ลี วัลเลซ เปลี่ยนมาที่แผงมิดฟิลด์ จอร์แดน รอสซิสเตอร์ อดีตลูกหม้อ "หงส์แดง" จะไม่มีอยู่ใน 3 กองกลาง เพราะบาดเจ็บเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้น เจอร์ราร์ด จะเลือกใช้ แกรม ดอร์แรนส์, ไรอัน แจ็ค ผู้เคยเป็นแชมป์ สก็อตติช พรีเมียร์ชิพ และ เกร็ก โดเชอร์ตี้ ส่วนตำแหน่งหน้าคู่ "สตีวี่ จี" จะเลือก เจสัน คัมมิงส์ ที่ไปยืมตัวมาจาก น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ยืนจับคู่กับ อัลเฟรโด้ โมเรลอส ดาวยิงประจำทีม การแข่งขัน ดาร์บี้แมตช์ "โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้" แพ้ใครก็แพ้ได้ แต่ต้องไม่ให้กับ กลาสโกว์ เซลติก คู่อริเบอร์ 1 ในลีกสก็อตแลนด์ ที่ทั่วโลกต่างเรียกดาร์บี้แมตช์ศึกนี้ว่า "โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้" ซึ่งความสำเร็จของ เจอร์ราร์ด กับ เรนเจอร์ส จะถูกตัดสินจากเกมนัดนี้ การพบกันครั้งแรกของทั้ง 2 ทีม เมื่อ เจอร์ราร์ด เข้ามากุมบังเหียน ได้ฟาดแข้งกันที่ ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม รังเหย้าของ "เรนเจอร์ส" และสามารถเริ่มต้นได้อย่างสวยงาม เมื่อ เรนเจอร์ส จะเป็นฝ่ายเอาชนะ เซลติก ไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 จากลูกยิงของ เจสัน คัมมิงส์ และ เคนนี่ มิลเลอร์ ตำนานดาวยิง "เดอะ ไลท์บลู" ส่วนการแข่งขันนัด 2 ของซีซั่น ที่ต้องบุกไปเยือน เซลติก กลับไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบอีกแล้ว เมื่อลูกทีมของ เจอร์ราร์ด ต้องเป็นฝ่ายตามหลัง 1-3 ตั้งแต่ 30 นาทีแรก จนกระทั่งเสียงนกหวีดครบ 90 นาทีดังขึ้น เรนเจอร์ส ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย ต่อมาเป็นแมตช์ที่ 3 เรนเจอร์ส ได้กลับมาเล่นที่ ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม อีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้ เซลติก วางแท็คติคมารับมือกับแผน เจอร์ราร์ด ได้อย่างอยู่หมัด สุดท้าย "ม้าลายเขียว-ขาว" บุกมาล้างแค้นมาเอาชนะได้ถึงถิ่น 2-0 จากฝีเท้า สก็อตต์ ซินแคลร์ และ  อ๊อดซอนเน่ เอดูอาร์ด ยิ่งไปกว่านั้น  "โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้" แมตช์สุดท้ายของฤดูกาล เป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตกุนซือของ เจอร์ราร์ด เมื่อ เรนเจอร์ส ตกเป็นฝ่ายตามหลัง เซลติก 0-2 และ ฟาบิโอ คาร์โดโซ่ กับ ไรอัน แจ็ค สองลูกทีมโดนไล่ออกจากสนาม ส่งผลให้ เรนเจอร์ส ไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์พลิกล็อคกลับมาชนะคู่อริเบอร์ 1 เกียรติประวัติและอันดับตารางคะแนน ด้วยประสบการณ์และความใหม่ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในฐานะกุนซือ ทำให้เขายังไม่สามารถล้างบัลลังค์การเป็นมหาอำนาจแห่งวงการลูกหนังแดน "น้ำเมา" จาก เซลติค ลงได้ จากการที่ต้องแพ้ให้กับคู่แข่งเบอร์ 1 ในศึก "โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้" ไปถึง 3 ครั้ง จาก 4 ครั้ง จึงจบได้เพียงแค่อันดับ 2 ของตาราง และตามหลัง "ม้าลายเขียว-ขาว" มากถึง 16 คะแนน สิ่งปลอบใจ เจอร์ราร์ด เพียงสิ่งเดียวก็คือการรั้งอันดับ 2 มาตลอดทั้งฤดูกาล ด้วยการทิ้งห่าง แพทริค ทิสเทิล อันดับ 3 8 แต้ม และเหนือกว่า อเบอร์ดีน อันดับ 4 อยู่ 13 คะแนน โดยการจบอันดับ 2 ทำให้ เรนเจอร์ส ติดโควต้าไปเล่น ยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบคัดเลือก ในซีซั่นถัดมา อีกนัยยะหนึ่งก็คือ อัลเฟรโด้ โมเรลอส หัวหอกตัวหลัก ได้ครองดาวซัลโวด้วยการซัดไป 19 ตุง จากการลงสนาม 35 นัด เหนือกว่าทั้ง มุสซ่า เดมเบเล่ และ สก็อตต์ ซินแคลร์ 2 ศูนย์หน้าจาก เซลติค รวมถึง  เวส โฟเดอริงแฮม ทำคลีนชีตได้มากสุด 15 ครั้ง ส่วนผลงานเกมลีก "สก็อตแลนด์ ลีก คัพ" เรนเจอร์ส ต้องเซอร์ไพรส์สุดๆ ด้วยการถูก ดันเฟอร์นลิน เขี่ยตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เจอร์ราร์ด สามารถนำถ้วยมาประดับสโมสรได้สำเร็จในฐานะผู้จัดการทีม ด้วยการชนะจุดโทษ เซนต์ จอห์นสโตน คว้าแชมป์ "สก็อตติช คัพ" มาครองได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2008-09 คำตัดสิน แน่นอนในชีวิตจริง เจอร์ราร์ด จะถูกวัดฝีมือการคุมทีมเมื่อต้องเจอกับ กลาสโกว์ เซลติก คู่อริเบอร์ 1 เพราะเปรียบเสมือนเป็นแมตช์ตัดสินว่าใครคือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดน สก็อตแลนด์ ซึ่งปัจจุบัน เรนเจอร์ส ยังมีสถานะเป็นเพียงแค่พระรองเท่านั้น ส่วนถ้า "สตีวี่ จี" มีผลงานพาสโมสรจบเป็นอันดับ 2 และสามารถคว้าแชมป์  "สก็อตติช คัพ" มาครองได้ในรอบเกือบ 10 ปี จะนับเป็นสัญญาณยอดเยี่ยมของอดีตตำนาน ลิเวอร์พูล ด้วยเวลาและการได้เงินมาสนับสนุนการทำทีม มันคงเร็วเกินไปที่จะมาตัดสินอนาคต เจอร์ราร์ด ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วความก้าวหน้าของ เรนเจอร์ส รวมถึงตัวกุนซือ ก็คงต้องอยู่ที่การแข่งขันกับ เซลติก เพื่อตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ คือ "สก็อตติช พรีเมียร์ลีก" https://www.khobsanam.com/news/15771
logoline