logo-heading

ในวันที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศแต่งตั้ง ราล์ฟ รังนิค เข้ามาเป็นกุนซือชั่วคราวจนจบซีซั่น พร้อมกับนั่งแท่นที่ปรึกษาสโมสรต่ออีก 2 ปี สร้างความชื่นมื่นให้กับสาวก ปีศาจแดง เหลือเกิน เพราะนอกจากจะได้แยกทางกับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา แล้วนั้น เฮดโค้ชรายนี้ ยังพกดีกรีความเป็นต้นตำรับ เกเก้น เพรสซิ่ง มาด้วย

ว่าง่ายๆว่าเป็นต้นแบบของกุนซือระดับท็อปของโลกทั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล และ โธมัส ทูเคิ่ล เฮดโค้ช เชลซี ดังนั้นความคาดหวังที่แฟนบอลอยากให้เข้ามาเปลี่ยนแปลง แมนฯ ยูไนเต็ด ย่อมสูงมากขึ้น หลายๆคนถึงขั้นจินตนาการเลยล่ะครับว่า นี่คือกุนเทรนเนอร์ระดับมันสมอง ผู้จะเข้ามากอบกู้ซาปรักหักพังให้ดีขึ้นอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม วันเวลาผ่านไปทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้น และ สถานการณ์ดูจะเลวร้ายกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผิดกับสิ่งที่แฟนบอล เร้ด เดวิลส์ ราวฟ้ากับเหว ดังนั้นไปวิเคราะห์กันดูว่าสาเหตุใด ทำไม ราล์ฟ รังนิค ถึงไม่เปรี้ยง แบบไม่เหมือนที่เคยคุยกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันเป็นเพราะแท็คติค หรือ ตัวผู้เล่น

1.ผีแดง เล่นเพรสซิ่ง ไม่ได้ ?

เกเก้น เพรสซิ่ง พูดถึงแท็คติคนี้ คุณจะนึกถึง เจอร์เก้น คล็อปป์ ใช่ไหมล่ะครับ ? แต่ถ้าเป็นบิดาของ เกเก้น เพรสซิ่ง คงจะเคยได้ยินมาแล้วว่าเขาผู้นั้นคือ ราล์ฟ รังนิค ฉะนั้นการเข้ามาคุม ปีศาจแดง ทำให้แฟนบอลคาดหวังว่า นักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องวิ่งบ้าระห่ำ บุกแหลก ไล่เพรสตั้งแต่กองหน้า ยาวมาจนถึงกองหลัง เหมือนอย่างที่ ลิเวอร์พูล, เชลซี หรือ แม้กระทั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เห็น แต่เปล่าเลยครับ หลังจากผ่านการคุมทีมนัดแรก ที่เฉือนเอาชนะ คริสตัล พาเลซ 1-0 ใครเห็นก็คิดว่า รังนิค ได้ติดตั้งเครื่องเพรสซิ่งให้กับนักเตะเรียบร้อยแล้ว ทว่ากลับไม่ค่อยได้เห็นสิ่งนั้นอีกเลย จึงมีการตั้งคำถามกันทั่วโลกโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค ว่า หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเล่น เพรสซิ่ง ไม่ได้ ? ทั้งๆที่เป็นแท็คติคที่ รังนิค และ แฟนบอล อยากจะเห็น ปัจจัยหลักของ เกเก้น เพรสซิ่ง คือคุณต้องบีบคู่แข่งตลอดเวลา เพื่อพยายามแย่งบอลกลับมาให้ได้โดยเร็ว และ เมื่อคุณได้บอลกลับมาครอบครอง คุณต้องมีความแม่นยำในการออกบอล เพื่อนำพาไปสู่การยิงประตู แต่กลายเป็นว่ายุค รังนิค  แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ทำแบบนั้น และกลับทำบอลเสียมากเหลือเกิน ..  อย่างนัดชนะ เบิร์นลี่ย์ เสียบอล 154 ครั้ง, นัดเฉือน พาเลซ เสียบอล 150 ครั้ง และ นัดแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน ก็เสียบอลไปอีก 145 ครั้ง ซึ่ง 3 จาก 5 เกม ที่กล่าวมา ผู้เล่น แมนฯ ยูไนเต็ด เสียการครองบอลมากที่สุดในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซีซั่นนี้ ซึ่งเกิดในยุค รังนิค ทั้งนั้น ที่สำคัญคือเรื่องของสภาพร่างกาย ในยุค โซลชา แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เล่นเพรสซิ่งตลอด 90 ดังนั้นเมื่อเจอปรัชญาของ รังนิค ที่เข้ามากลางฤดูกาล มันก็ยากที่จะปรับเปลี่ยนได้ทันที อีกทั้งมี โควิด-19 เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้พละกำลังอาจยังไม่เต็มสูบ ดังนั้นเมื่อแท็คติคของ รังนิค ยังไม่เข้าไปอยู่ใน DNA นักเตะ จึงไม่แปลกที่ระบบ รังนิค ไม่เฉิดฉาย

2. ระบบ 4-2-2-2 ไม่เข้ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ?

ในยุคของ โซลชา เรียกว่าคู่แข่งสามารถจับทางได้เลย เพราะไม่ว่าจะเจอใครก็จะมาในรูปแบบ 4-2-3-1 เท่านั้น โดยมี เฟร็ด เป็นลูกรัก ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นระบบหลัง 3 ในช่วงสุดท้าย ก่อนชะตาจะขาดลง แต่พอเปลี่ยนมาเป็น รังนิค แฟนบอลก็คาดหวังแบบรุกเต็มสูบ อาทิ 4-3-3 หรือ 3-4-1-2 อะไรพวกนี้ ทว่ากลายมาเป็นระบบ 4-2-2-2 ซะอย่างนั้น ถ้าหากเก็บ 3 คะแนน มันก็คงดีอยู่หรอก แต่คราวนี้ รังนิค เริ่มทำทีมสะดุเสมอ และ มาแพ้นัดล่าสุด ทำให้โดนตั้งคำถามว่า 4-2-2-2 มันเหมาะกับ แมนฯ ยูไนเต็ด จริงๆเหรอ ? พร้อมกับคำถามที่ว่า มันเป็นเพราะนักเตะ หรือ กุนซือ กันแน่ ? เนื่องจาก ระบบรายละเอียดของแผน 4-2-2-2 ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกับยุค โซลชา ไปเลย จริงอยู่ที่ รังนิค เพิ่งเข้ามาคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แค่ราวๆ 1 เดือน ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีก แต่กระนั้นการยึดติดระบบ 4-2-2-2 มากไป มันก็อาจส่งผลทำให้ผลงานการคุมทีมของเขาไม่ปังมากนัก เพราะระบบนี้คุณจะต้องมีความแม่นยำในการจ่ายบอล หรือ แผงมิดฟิลด์ต้อนคอนโทรลเกมได้ แต่ผู้เล่น ปีศาจแดง กลับไม่ทำแบบนั้นให้เห็น บอลก็จ่ายเสีย เพรสซิ่ง ก็ไม่ค่อยไล่ นั่นแหละครับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ รังนิค ยังไม่เฉิดฉายในการคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะมันคือหัวใจของแท็คติคนี้เลย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป มันจะดีขึ้นมั้ย เพราะต่อจากนี้มันจะเกี่ยวกับบรรยากาศภายในทีมแล้วล่ะครับ

3. บรรยากาศภายในทีม

จากตัวอย่างที่ผ่านๆมา ถ้าโค้ช แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เฮี้ยบจริง ก็เอานักเตะในทีมชุดนี้ยากเหลือเกิน เพราะหลายๆคนก็มีอีโก้ มีความเป็นตัวเองสูงมาก ดูอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล หรือ โชเซ่ มูรินโญ่ สองกุนซือระดับตำนาน ยังไม่อาจรับมือได้ไหว ต้องแยกย้ายออกจากทีม ด้วยข่าวไม่กินเส้นกับนักเตะในทีมอยู่เสมอ ถึงแม้การเข้ามาของ ราล์ฟ รังนิค จะสร้างความตื่นเต้นให้กับสาวก ปีศาจแดง ว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงให้สโมสร ให้กลับมาเล่นฟุตบอลได้ตื่นตา ตื่นใจมากขึ้น แต่ในทางกลับกันมันไม่ดีขึ้นเลย เพราะล่าสุดมีข่าวรายงานในทางลบๆอีกแล้วหลังจากเกมที่แพ้คาบ้านให้กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 0-1 ว่า นักเตะหลายคนไม่มีความสุข รู้สึกอึดอัด กับการทำงานของ ราลฟ์ รังนิค เพราะไม่ประทับใจเกี่ยวกับแท็คติค และ ไม่ปลื้มกับคุณภาพของเหล่าทีมงาน ที่ รังนิค เอามาร่วมงานด้วย และ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวหลักเท่านั้นนะครับ เพราะมีรายงานความร้าวฉานในแคมป์ ปีศาจแดง ว่ามีผู้เล่นถึง 11 คน ต้องการย้ายออกจากทัพ ปีศาจแดง โดยเฉพาะบรรดาตัวสำรองที่ไม่ได้รับโอกาส อาทิ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค, เจสซี่ ลินการ์ด และ ดีน เฮนเดอร์สัน เป็นต้น ถึงขั้นมีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายกันด้วย ขนาดกุนซือเก๋าๆระดับหัวกะทิ คุมตำนานมามากมาย ได้แชมป์จนท่วมท้น ก็ยังเอาไม่อยู่ ฉะนั้น รังนิค ที่เพิ่งมาคุมทีมได้แค่ 1 เดือนเศษ จะเอาอะไรมาไหว เมื่อบรรยากาศในทีมมันแย่ ก็คงยากแน่ๆที่ รังนิค จะแสดงศักยภาพได้เต็มที่ เพราะพูดไปก็ไม่รู้ว่าจะมีคนฟัง หรือ ทำตามมากแค่ไหน เหมือนดั่งสิ่งที่ รอย คีน เคยพูดถึงนักเตะ ปีศาจแดง ไว้ว่า "พวกนี้เป็นนักเตะคนเดิมๆ ที่ทำเรื่องแย่ๆใส่ มูรินโญ่ มีแต่พวกขี้บลัฟ แอบทำเรื่องลับหลัง ฉะนั้นเสือดาวมันไม่เปลี่ยนลายของตัวเองหรอก"

4. อิทธิพลของ โรนัลโด้

ว่ากันตามตรงแบบยากที่จะหลีกเลี่ยง ชื่อเสียงระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มีอิทธิพลภายในทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สูงมากจริงๆ แน่นอนการได้ ซีอาร์ 7 กลับมา ทำให้เห็นว่าสโมสรพร้อมคัมแบ็กสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง การมีเขาอยู่ในทีม โอกาสแชมป์ก็มากขึ้น โอกาสยิงประตูก็สูงมากขึ้น แต่กระนั้นใครจะรู้ล่ะว่า ตอนนี้มันกลายเป็นเหมือนดาบ 2 คม ได้เช่นกัน เพราะการมี โรนัลโด้ ในทีม เหมือนบดบังรัศมีฝีเท้านักเตะรายอื่นไปด้วย โดย กาเบรียล อักบอนลาฮอร์ ตำนานแข้ง แอสตัน วิลล่า เคยวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนว่า สาเหตุที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด, เมสัน กรีนวู้ด และ จาดอน ซานโช่ ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้ ก็เพราะการมาของ พี่โด้ นี่แหละครับ จะทำอะไรก็ดูเกรงใจ ซีอาร์ 7 ไปหมด ถึงขั้นที่แนะนำให้ ราล์ฟ รังนิค กุนซือใหญ่ ลองดรอป โรนัลโด้ เป็นตัวสำรองดูบ้าง หรือแม้กระทั่ง บรูโน่ แฟร์นานเดส เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติโปรตุเกส ที่เคยเป็น เดอะ แบก ของทีม เมื่อซีซั่นก่อน พอมาถึงฤดูกาลนี้ผลงานกลับตกลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดย แอนดี้ โคล ตำนานหัวอกผิดสี จับสังเกตุได้เลยว่า บรูโน่ ฟอร์มแย่ลงไปจริงๆ ตั้งแต่ โรนัลโด้ กลับมา เขามีส่วนร่วมทำประตูให้ทีมแค่ 8 ลูก แบ่งเป็นยิง 5 ตุง และ ทำได้ 3 แอสซิสต์ เท่านั้น ทั้งๆที่ซีซั่นก่อน กดไป 18 ประตู เลยทีเดียว ถึงแม้ว่า กูรูหลายๆคนเริ่มแนะนำให้ดรอป โรนัลโด้ เพื่อให้ทีมสมดุลมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ ก็คือ โรนัลโด้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร จะนั่ง จะยืน ก็มักถูกจับเป็นกระแสไปหมด แค่ รังนิค จับดรอปเป็นสำรองนัดเดียว ก็กลายเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ไปแล้ว ว่าทำไมถึงกล้าดรอป ซีอาร์ 7  ทั้งๆที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการตัวจบสกอร์ ดังนั้นไม่ว่า รังนิค จะทำอะไร ก็ดูไม่เป็นตัวเองเลยสักนิด หากทำอะไรผิดใจ อนาคตอาจอยู่ไม่ยืด เรียกว่า อิทธิพลของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ส่งผลกับการคุมทีมของเขามากจริงๆ เพราะอาจไม่ได้ทำอะไรตามใจมากนัก

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline