logo-heading

หลังจาก ลิเวอร์พูล ต้องผิดหวังกับเกมปืนฝืด ไม่สามารถยิง อาร์เซน่อล ที่เหลือ 10 คนได้ ในศึก คาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ก็สามารถกลับมาเรียกฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง โดยเปิดถิ่นแอนฟิลด์ ไล่ถล่มเอาชนะ เบรนท์ฟอร์ด ไปแบบขาดลอย 3-0 จากฝีเท้าของ ฟาบินโญ่, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ ทาคุมิ มินามิโนะ

พร้อมกับการกลับไปทวงตำแหน่งรองจ่าฝูงคืนอีกครั้ง แซงหน้า เชลซี เรียบร้อย ถ้าถามว่าเรื่องการลุ้นแชมป์ไปตามจี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อันดับ 1 ยังมีโอกาสอยู่มั้ย ? เอาเป็นว่าไปตามประเด็นหลังเกมที่เกิดขึ้นในเกมนี้กันดีกว่าครับ

- โอกาสการเบียดแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เบียดเอาชนะ เชลซี 1-0 ทิ้งห่างมากถึง 13 คะแนน ใครๆก็เชื่อว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ จบลงแล้ว เพราะไม่มีวี่แววเลยว่า เรือใบสีฟ้า จะสะดุดให้เห็น และ ถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะแข่งน้อยกว่า 2 นัด แต่โอกาสไล่ตามหลัง ช่างเหมือน "เข็นครกขึ้นภูเขา" อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของ ลิเวอร์พูล เหนือ เบรนท์ฟอร์ด ทำให้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แซงหน้า เชลซี ขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ได้สำเร็จ แข่ง 21 นัด เก็บไปแล้ว 45 คะแนน น้อยกว่า เรือใบสีฟ้า อยู่ 1 นัด ซึ่งถ้าหากคว้า 3 แต้มได้สำเร็จ จะกลายเป็นลดช่องว่างเหลือตามหลัง แมนฯ ซิตี้ อยู่ 8 คะแนน ถึงแม้จะเป็นช่องว่างที่ห่างกันเยอะอยู่ แต่เลขตัวเดียว ย่อมดีกว่าเลข 2 หลัก อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าหาก ลิเวอร์พูล อยากจะบดบี้ และ ลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปจนจบซีซั่น พวกเขาต้องชนะแบบรัวๆ และ ห้ามสะดุดโดยเด็ดขาด อารมณ์ประมาณว่าต้องเก็บ 3 แต้มไปเรื่อยๆ และ รอให้ เรือใบสีฟ้า พลาดแพ้ไปเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะช่วงนี้จ่าฝูงฟอร์มเขาแรงจริงๆ

- เบรนท์ฟอร์ด ฟอร์มแผ่ว เริ่มต้องคิดเรื่องหนีตาย

เบรนท์ฟอร์ด ถือว่าเป็นทีมน้องใหม่ไฟแรงในซีซั่นนี้ เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการปราบ อาร์เซน่อล และ ตลอด 7 นัดแรก แพ้ให้กับคู่แข่งไปเพียงแค่ 1 นัด เท่านั้น โดยเคยทำเซอร์ไพรส์ไล่ตีเสมอ ลิเวอร์พูล 3-3 มาแล้ว ในตอนที่พวกเขาเล่นในบ้านของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ช่วงหลัง เบรนท์ฟอร์ด เริ่มออกอาการเป๋ให้เห็น โดยเฉพาะเวลาบุกไปเยือนคู่แข่ง ซึ่งก่อนมาเยือนถิ่นแอนฟิลด์ ก็แพ้ให้กับ ไบรท์ตัน 0-2 และ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-4 มาแล้ว ดังนั้นการต้องมาเจอกับ หงส์แดง ที่ต้องการ 3 แต้มอย่างมาก จึงไม่อาจต้านทานไหว และ พ่ายแบบขาดลอยในที่สุด จากการปราชัยต่อ ลิเวอร์พูล แบบเละเทะ ทำให้ตอนนี้ เบรนท์ฟอร์ด เริ่มต้องโฟกัสเรื่องการหนีตกชั้นแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้ลูกทีมของ โธมัส แฟร้งค์ หล่นมาอยู่อันดับ 14 แข่ง 22 นัด มีอยู่ 23 คะแนน ต่อให้จะนำ นอริช ซิตี้ อันดับ 18 โซนตกชั้น อยู่ 10 แต้ม อาจเป็นคะแนนที่ยังดูห่างไกล ทว่าการแข่งขันเหลือถึง 16 นัด ฉะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

- การแก้ตัวของ มินามิโนะ

ย้อนกลับไปเกมที่ ลิเวอร์พูล ทำได้เพียงเสมอกับ อาร์เซน่อล 0-0 ทั้งๆที่มีผู้เล่นมากกว่า 1 คน เกือบๆ 70 นาที แต่เจาะแล้วเจาะเล่า ก็ยิงประตูไม่ได้ ซึ่งวันนั้นคนที่โดนวิจารณ์อย่างหนักก็คือ ทาคุมิ มินามิโนะ ที่ยิงจ่อๆหน้าประตูช่วงท้ายเกม แต่ซัดโด่งข้ามคานอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งๆที่ผู้รักษาประตูหลุดตำแหน่งไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ความพยายามของ มินามิโนะ ก็มาสัมฤทธิ์ผลจนได้ เมื่อเขาเป็นคนมายิงประตูปิดกล่องให้ ลิเวอร์พูล ถล่ม เบรนท์ฟอร์ด 3-0 จากการถวายพานของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ซึ่งเป็นการประสานงานทำประตูด้วยกันเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ ทาคุมิ ย้ายมา หงส์แดง เมื่อ 2 ปีก่อน อย่างน้อย ก็เป็นการลบภาพร้ายๆที่เล่นไม่เข้าขากันเลย ในเกม คาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก โดยเฉพาะ มินามิโนะ ที่ทำประตูที่ 2 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ พร้อมกับเป็นประตูฉลองวันเกิดอายุครบ 27 ปีบริบูรณ์ อีกด้วย เรียกว่าได้เฉลิมฉลองอย่างเต็มที่

- หรือว่า คล็อปป์ จะไม่เสริมทัพ

จากการขาด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ สองดาวยิงคนสำคัญ จนเข้าทำ อาร์เซน่อล ไม่ได้ ทำให้สาวก เดอะ ค็อป เรียกร้องให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ รีบเสริมทัพหานักเตะหน้าใหม่เข้ามาเป็นออปชั่นช่วยเกมรุก เพราะพวกบรรดาตัวสำรองไม่สามารถลงมาทดแทนได้เลย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีข่าวเลยว่า ลิเวอร์พูล จะไปเสริมทัพใครเข้ามา มีแต่ลุ้นกันว่าจะต่อสัญญากับ โม ซาลาห์ ออกไปหรือไม่ ยิ่งเกมถล่ม เบรนท์ฟอร์ด พวกตัวสำรองอย่าง มินามิโนะ และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ทำประตูได้ด้วย ก็น่าจะคลายความกังวลไปได้บ้าง แต่กระนั้น ลิเวอร์พูล ยังจะไร้เงา ซาลาห์ กับ มาเน่ ไปอีกอย่างน้อย 2 แมตช์ คือเกมชี้ชะตากับ อาร์เซน่อล ว่าจะได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ หรือไม่ ส่วนอีกนัดคือ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ต้องบุกไปเยือน คริสตัล พาเลซ ซึ่งก็ห้ามพลาด เพราะต้องทำแต้มไล่ตาม แมนฯ ซิตี้ .. 2 แมตช์นี้แหละครับจะวัดเลยว่า หงส์แดง ควรเสริมทัพหรือเปล่า 

- คุมทีมนัดที่ 350 ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ 

เผลอแค่แปบเดียว เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียน ลิเวอร์พูล เข้าสู่ปีที่ 7 แล้วล่ะครับ หลังมาสานไม้ต่อจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ซึ่ง เดอะ นอร์มอล วัน เป็นคนสร้างประวัติศาสตร์ พา หงส์แดง คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 และ ครองโทรฟี่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ จากวันนั้นถึงวันที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุมบังเหียน เครื่องจักรสีแดง ครบ 350 นัด เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดถิ่นแอนฟิลด์ เอาชนะ เบรนท์ฟอร์ด 3-0 ส่งผลให้กุนซือเฮฟวี่ เมทัล เก็บชัยในสีเสื้อ หงส์แดง ไปแล้ว 213 นัด หากเอามาเฉลี่ย เจอร์เก้น คล็อปป์ มีเปอร์เซ็นต์ชนะ สูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ในการกุมบังเหียน ลิเวอร์พูล มากกว่าทั้งสมัยคุม ไมนซ์ และ โบรุสเซีย ดอร์ทมทุนด์ ดังนั้นต้องรอดูว่าซีซั่นนี้ คล็อปป์ จะสามารถพา หงส์แดง จบซีซั่นแบบมีถ้วยแชมป์ติดมือหรือไม่ อันนี้ต้องรอติดตาม เพราะถือว่า ลิเวอร์พูล ยังมีลุ้นทุกแชมป์ 4 รายการ

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline