logo-heading

เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศกันแล้วสำหรับศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2021-22 ซึ่งตอนนี้เราได้ 4 ทีมที่ดีที่สุดของยุโรปมาฟาดแข้งกันเป็นตัวแทนของ 2 ประเทศอย่างอังกฤษ ที่นำมาโดย ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ ส่วนทางฝั่งสเปนก็เป็น เรอัล มาดริด กับ บียาร์เรอัล

ซึ่งแน่นอนว่าในรอบชิงชนะเลิศสามารถออกได้ทั้ง 3 หน้าทั้ง อังกฤษ หรือ สเปน ดวลกันเอง หรือศึกแห่งศักดิ์ศรี สเปน ดวล อังกฤษ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นในรอบตัดเชือกครั้งนี้ถือว่าเป็นซีซั่นที่มีหลากหลายประเด็นน่าสนใจมากพอสมควร 

ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราจะพาไปดูสิ่งที่น่าสนใจของศึก แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศในครั้งนี้กันว่ามีเรื่องราวอะไรบ้างที่น่าสนใจ ไปชมกันได้เลย

ดวลกันอีกครั้งของ คล็อปป์ vs เอเมรี่

วนกลับมาเจอกันอีกทั้งสำหรับ คล็อปป์ กับ เอเมรี่ ซึ่งนับตั้งแต่ที่นายใหญ่ชาวเยอรมันเข้ามาคุมทัพ "หงส์แดง" นี่จะเป็นครั้งที่ 6 ที่มีโอกาสดวลฝีมือกับหนึ่งในสุดยอดกุนซือที่เขาเองยกย่องให้เป็นเจ้าพ่อของฟุตบอลถ้วย

ย้อนกลับไปทั้งคู่ดวลกันครั้งแรกในศึกยูโรปา ลีก รอบชิงชนะเลิศ เมื่อปี 2016 ซึ่งเชื่อว่าแฟนบอลหลายคนน่าจะจำเหตุการณ์ในค่ำคืนวันนั้นได้เป็นอย่างดี การปะทะกันของ 2 กุนซือที่บทสรุปสุดท้ายยกแรก
กลายเป็น เอเมรี่ ทำได้ดีกว่าพา เซบีย่า เอาชนะไปได้ 1-3 ทั้งที่เป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน แต่สามารถพลิกสถานการณ์พาทีมเถลิงบัลลังก์แชมป์ได้สำเร็จ

ซึ่งหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสดวลกันอีก 4 ครั้งในศึกพรีเมียร์ลีกสมัยที่ เอเมรี่ เข้ามารับงานคุมทัพ อาร์เซน่อล แน่นอนว่าเมื่ออะไรหลายๆ ของ คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล มันลงตัวทำให้ 4 เกมที่ว่าพลพรรคทัพ "หงส์แดง" ไม่เคยพลาดท่าให้กับทีมของ เอเมรี่ อีกเลย แบ่งเป็นชนะ 3 และ เสมอ 1 ครั้ง

เกมในความทรงจำคงเป็นแมตช์ที่แอนฟิลด์ที่พวกเขาไล่ถล่มทัพ "ปืนใหญ่" 5-1 และเป็น โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ทำแฮตทริกได้สำเร็จ ส่วนอีกเกมเกิดขึ้นในศึกลีก คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้ายที่จบลงในเวลาปกติ 5-5 ก่อนเป็น ลิเวอร์พูล ดวลจุดโทษเอาชนะไปได้

แน่นอนว่าการวนกลับมาเจอกันในครั้งนี้สถิติในอดีตมันไม่ใช่เครื่องชี้วัดว่าใครดีกว่ากัน แต่ขุมกำลังปัจจุบันต่างหากที่จะบอกได้ว่าทีมไหนจะสามารถกรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

รวมสิ่งที่น่าสนใจของศึก แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ

รอบตัดเชือกของ คล็อปป์ กับ หงส์แดง

เป็นอีกครั้งของ คล็อปป์ ในการพา ลิเวอร์พูล ทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของฟุตบอลยุโรป ซึ่งถ้านับตั้งแต่เจ้าตัวเข้ามารับงานในถิ่นแอนฟิลด์นี่เป็นครั้งที่ 4 ที่กรุยทางเข้ามาถึงรอบนี้ได้สำเร็จ

ซึ่งสถิติที่น่าสนใจบอกว่า คล็อปป์ ในบทบาทนายใหญ่ทัพ "หงส์แดง" ได้คุมทีมลงเล่นในรอบตัดเชือกฟุตบอลยุโรปก่อนหน้านี้มาทั้งหมด 3 ครั้ง บทสรุปคือสามารถตีตั๋วเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ทั้งหมด 

ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อซีซั่น 2015-16 ในศึกยูโรปาลีก ซึ่งนั้นคือขวบปีแรกของเขากับ ลิเวอร์พูล ในรอบรองชนะเลิศก็สามารถฝ่าด่าน บียาร์เรอัล ไปได้ แต่ทว่าต้องมาอกหักพ่ายในรอบชิงชนะเลิศให้กับ เซบีย่า

ส่วนอีก 2 ครั้งเกิดขึ้นในศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ซีซั่น 2017-18 ครั้งนั้นพวกเขาโคจรมาเจอกับ โรม่า อาจมีช็อตให้แฟนบอลได้ตื่นเต้นบ้าง แต่ทว่าสุดท้ายก็กรุยทางเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผิดหวัง เพราะมาโดนทีเด็ดของ เรอัล มาดริด จัดการเอาชนะไปได้ 3-1

ส่วนอีกครั้งเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 2018-19 ซึ่งนั้นคงเป็นเหตุการณ์ที่แฟนบอล "เดอะ ค็อป" จดจำได้ขึ้นใจการพลิกนรกกลับมาเอาชนะ บาร์เซโลน่า ได้ 4-0 ทั้งที่เกมแรกบุกไปแพ้ถึง คัมป์ นู 3-0 ก็ตาม ก่อนที่นัดชิงชนะเลิศจะเป็นพวกเขาที่ได้สมหวังเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ไปได้ 2-0 ซิวแชมป์สมัยที่ 6 มาครองได้สำเร็จ

ส่วนในครั้งนี้ คล็อปป์ จะพาพลพรรคทัพ "หงส์แดง" ตีตั๋วไปลุยนัดชิงชนะเลิศที่สต๊าด เดอ ฟรองซ์ ได้หรือไม่ บียาร์เรอัล จะเป็นผู้ให้คำตอบอีกครั้ง 

บียาร์เรอัล กับรอบตัดเชือก (อีกครั้ง)

ในบรรดา 4 ทีมในรอบนี้ บียาร์เรอัล คงเป็นเซอร์ไพรส์มากที่สุดในการกรุยทางผ่านเข้ามาได้ เพราะถ้าดูจากเส้นทางของพวกเขานั้นต้องดวลกับทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ยูเวนตุส หรือ บาเยิร์น มิวนิค 

ที่ผ่านมาภาพจำของทัพ "เรือดำน้ำสีเหลือง" คงวนเวียนอยู่กับถ้วยใบรองอย่าง ยูโรปา ลีก เสียมากกว่า โดยเฉพาะแชมป์ล่าสุดของเขาเมื่อฤดูกาล 2020-21 ที่โค่น แมนฯ ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศ จากนั้นพวกเขาก็ได้โอกาสมาโลดแล่นในเวที แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นนี้ ซึ่งผลงานโดยรวมถือว่ายอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ผ่านเข้ารอบมาในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่ม

ส่วนในรอบน็อกเอาท์อย่างที่กล่าวไปพวกเขาผ่านมาได้ทั้ง ยูเวนตุส และ บาเยิร์น ทำให้นี่เป็นการเข้ารอบตัดเชือกครั้งที่ 2 ในศึกแชมเปียนส์ลีกของสโมสร ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อซีซั่น 2005-06 แต่ดันพลาดท่าพ่าย อาร์เซน่อล ไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 0-1

และกับครั้งนี้การผ่านมารอบนี้พวกเขาอาจดูเป็นม้านอกสายตา ไม่ได้ถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะผ่านเข้ามาในรอบที่ลึกขนาดนี้ แต่ทว่าด้วยความกดดันที่น้อยกว่าทีมอื่น พูดง่ายๆ คือไม่มีอะไรที่ต้องเสีย ไม่แน่นี่อาจเป็นทีมจอมเซอร์ไพรส์ของศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นนี้ก็เป็นได้

รวมสิ่งที่น่าสนใจของศึก แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ

แมนฯ ซิตี้ กับโอกาสลุ้นซิวแชมป์ครั้งแรก

อย่างที่เรารู้กันว่าโทรฟี่ แชมเปี้ยนส์ลีก คือสิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ คาดหวังอยากจะได้มาครองมากที่สุด เพราะพวกเขายังไม่เคยเอื้อมมือไปสัมผัสได้เลย ไกลที่สุดคือรอบชิงชนะเลิศเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

รวมไปถึง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เองที่ห่างหายจากแชมป์รายการนี้มานานตั้งแต่สมัยคุมทัพ บาร์เซโลนน่า ครั้งสุดท้ายที่ได้สัมผัสคือซีซั่น 2010-11

แม้ที่ผ่านมานายใหญ่ชาวสเปนจะพาทีมกรุยทางเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้แทบจะตลอด แต่ทว่าก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันเสียที โดนคู่แข่งเขี่ยตกรอบอยู่บ่อยครั้ง 

ส่วนในครั้งนี้ด่านต่อไปของพวกเขาคือ เรอัล มาดริด ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่งานที่งานที่ง่ายในการดวลกับทีมที่มีนักเตะมากประสบการณ์ และอีกหนึ่งกุนซือผู้เชี่ยวชาญกับฟุตบอลรายการนี้อย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ 

แต่อย่างไรก็ตามด้วยแรงกระหายของนักเตะ "เรือใบสีฟ้า" เชื่อเหลือเกินว่าพวกเขาคงสู้แบบถวายหัวเพื่อคว้าโทรฟี่ที่ถวิลหาใบนี้มาครองให้ได้

มาดริด หวังซิวโทรฟี่สมัยที่ 14

เจ้าของตำแหน่งที่คว้าถ้วยรางวัลรายการนี้ไปครองได้มากที่สุดถึง 13 สมัย ซึ่งครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2018 นี่เอง และเป็นทีมแรกในนาม แชมเปี้ยนส์ลีก ที่สามารถคว้าแชมป์ติดต่อกันได้ถึง 3 สมัย 

ในรอบที่ผ่านๆ มาทัพ "ราชันชุดขาว" ถือว่าผ่านด่านหิน และตัวเต็งมาทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่ เปแอสเช ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แม้เกมแรกจะแพ้ไปก่อน แต่ทว่าก็สามารถพลิกสถานการณ์ผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ ส่วนในรอบ 8 ทีมสุดท้ายต้องยืดเยื้อถึงการต่อเวลา แต่สุดท้ายก็ผ่านด่านทีมแกร่งอย่าง เชลซี ได้สำเร็จ ซึ่งในรอบตัดเชือกนี้พวกเขาจะโคจรมาดวลกับ แมนฯ ซิตี้

ซึ่งที่ผ่านมาสถิติการดวลกันระหว่าง "อันเช่" กับ เป๊ป อาจไม่ค่อยสวยงามนัก เพราะนายใหญ่ชาวอิตาลีแพ้ไป 4 จาก 6 เกมที่พบกัน 

แต่ทว่า 2 ครั้งที่ อันเชล็อตติ ชนะได้นั้นถือว่าสำคัญไม่น้อย ซึ่งมันเกิดขึ้นสมัยที่เขาคุม เรอัล มาดริด ภาคแรก พบกับ บาเยิร์น มิวนิค ของ เป๊ป ในรอบรองชนะเลิศ ศึก แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2014 รวมผล 2 นัดถล่มไปมากถึง 5-0

และกับครั้งนี้ทั้งคู่ได้วนกลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบเดิม เปลี่ยนไปคือ เป๊ป จากหัวของเสือใต้ มาลงเรือใบที่แมนเชสเตอร์ ศึกครั้งนี้น่าสนใจเหลือเกิน กับเดิมพันในการคว้าตั๋วไปลุยในรอบชิงชนะเลิศ

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline