วันนี้สิ่งที่ "ขอบสนาม" อยากนำเสนอก็คือการพาทุกท่านไปยลโฉม 5 ผู้คนที่เป็นเบื้องหลังสำคัญของความสำเร็จในครั้งนี้ จะมีใครกันบ้างนั้นไปติดตามรับชมกันได้เลยครับ
คาร์โล อันเชล็อตติ
นับตั้งแต่ ซีเนดีน ซีดาน ประกาศลาออกจากตำแหน่งกุนซือใหญ่ เรอัล มาดริด รอบ 2 การตามหาตัวตายตัวแทนสุดท้ายก็จบลงในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 1 วัน เมื่อทาง คาร์โล อันเชล็อตติ ตัดสินใจทิ้ง เอฟเวอร์ตัน และย้ายกลับมาทำงานที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว อีกครั้ง นับเป็นข่าวร้ายของ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ที่ต้องเสียกุนซือมากฝีมือไป แถมยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย แต่สำหรับแฟนๆ "ราชันชุดขาว" นับว่าเป็นข่าวดี เพราะ ณ เวลานั้นไม่มีโค้ชคนไหนที่ดูมีระดับและดีกรีเท่ากับเฮียแกอีกแล้ว
"คาร์เล็ตโต้" เคยทำงานกับ เรอัล มาดริด มาก่อนช่วงปี 2013-15 และก็เคยคว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ สโมสรโลก ได้อย่างละ 1 สมัย แน่นอนว่าข้อดีก็คือความเข้าใจในแนวทางการทำงานของที่นี่ คุ้นเคยดีกับแรงกดดัน รวมไปถึงความเก๋าเกมในเรื่องประสบการณ์บนเส้นทางสายกุนซือและการกอบโกยความสำเร็จด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ คาร์โล อันเชล็อตติ คนนี้สามารถประคองสถานการณ์ที่ยากลำบากได้เป็นอย่างดี ผลงานในเวที ลา ลีกา ค่อนข้างจะรักษามาตรฐานได้ดีตั้งแต่ต้นยันจบ เก็บแต้มได้รัวๆ อาจจะมีช่วงที่สะดุดๆ ไปบ้าง แต่ด้วยมาตรฐานของ แอตเลติโก มาดริด และ บาร์เซโลน่า ที่ตกลงไปเยอะในปีนี้มันก็เลยทำให้ เรอัล มาดริด ค่อนข้างทางสะดวกและมีโอกาสที่ดีกว่าการซิวแชมป์ในฤดูกาลนี้
แต่ถึงยังไงเรื่องของความดีความชอบก็ต้องยกให้ คาร์โล อันเชล็อตติ แบบเต็มๆ เหมือนกันกับความสำเร็จในครั้งนี้ เพราะบางทีถ้าไม่ใช่เขาโอกาสการลุ้นความสำเร็ขอาจไม่ได้สดใสขนาดนี้ก็เป็นได้ และมันก็ยังทำให้เขาสร้างสถิติเป็นผู้จัดการทีมคนแรกบนประวัติศาสตร์ลูกหนังที่คว้าแชมป์ได้ทั้งหมดกับ 5 ลีกดังยุโรป
ติโบต์ กูร์กตัวส์
ผลงานของ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ก็นับเป็นส่วนสำคัญที่พา เรอัล มาดริด ผงาดคว้าแชมป์ ลา ลีกา สเปน สมัยที่ 35 มาครองได้สมดั่งใจหวัง เขาเป็นผู้เล่นที่เจอกับช่วงเวลาแย่ๆ มาเยอะ แถมยังรับมือกับความกดดันได้ดีมากๆ และก็นี่คือผู้เล่นเพียงคนเดียวที่ได้ลงสนามทุกวินาทีบนสังเวียน ลา ลีกา สเปน ในฤดูกาลนี้ และการเสียไปแค่ 29 ประตูจาก 33 เกม เก็บได้ 13 คลีนชีท มันก็มีโอกาสสูงมากๆ ที่ นายทวารทีมชาติเบลเยี่ยม จะคว้ารางวัล ซาโมร่า โทรฟี่ เพิ่มอีกเป็นสมัยที่ 4
นอกจากการเก็บคลีนชีทได้มากมายแล้วหารู้ไม่ว่าในแต่ละเกมการแข่งขันทาง ติโบต์ กูร์กตัวส์ เองก็มีส่วนในการเซฟแต้มสำคัญให้กับทีมไม่ใช่น้อยการจากเซฟหรือป้องกันลูกยากๆ ของคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นลูกยิงของ เดนิส ซูอาเรซ กับ ยาโก้ อาสปาส ในเกมกับ เซลต้า บีโก้, เกมเสมอ กรานาด้า 0-0 ที่เซฟลูกยิงของ อันโตนิโอ ปูเอร์ตาส เอาไว้ได้
ถ้าจะพูดถึงช็อตที่เป็นไฮไลท์ของซีซั่นเลยก็คงจะเป็นศึกผ่าเมืองกับ แอตเลติโก มาดริด ที่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ นั้นสามารถปฏิเสธลูกยิงสุดหินจากทาง มาเธคุส คุนญ่า, เจา เฟลิกซ์ และ อองตวน กรีซมันน์ ได้ทั้งหมด
ลูก้า โมดริช
ถึงแม้อายุอานามจะปาเข้าไป 36 ปีแล้วก็จริงแต่เรื่องของศักยภาพฝีเท้าและลีลาการวาดลวดลายบนสังเวียนฟลอร์หญ้าของ ลูก้า โมดริช ยิ่งนับวันก็ยิ่งสุดยอดขึ้นเรื่อยๆ พี่แกยังคงเป็นหัวใจสำคัญ คอยเคลื่อนที่ไปทั่วสนาม พาบอลขับเคลื่อนและกำหนดทิศทางสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนๆ ได้มากมาย มีผู้เล่นน้อยคนนักที่ยังสามารถยืนหยัดเล่นในเกมระดับสูงได้ทั้งที่อายุปูนนี้แล้ว
เมื่อเทียบกับปี 2018 ที่ ลูก้า โมดริช คว้า บัลลงดอร์ หลายๆ ฝ่ายมองว่าฤดูกาลนี้สิ่งที่เจ้าตัวได้สร้างไว้นั้นมันสุดยอดเกินกว่าปีนั้นอีกต่างหาก ปัจจัยสำคัญที่ เรอัล มาดริด ได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์ ลา ลีกา ในปีนี้ก็มาจากการได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทีมที่มีแผงมิดฟิลด์แข็งแกร่งที่สุดในโลก และสำหรับ ลูก้า โมดริช ก็ถือว่าป็นคนที่โดดเด่นที่สุดเมื่อเทียบกับ คาเซมิโร่ และ โทนี่ โครส ขนาดสื่อดังอย่าง Marca ยังตัดเกรดให้ โมดริช ได้ไป 9 คะแนน ส่วนอีก 2 คนนั้นได้ไปตามมาตรฐานที่คงเส้นคงวาที่ 6.5-7 คะแนน
วินิซิอุส จูเนียร์
จำได้ว่าตอนย้ายมาอยู่กับ เรอัล มาดริด ใหม่ๆ ไอ้หนู วินิซิอุส จูเนียร์ เพิ่งจะอายุได้ราวๆ 17 ปีเท่านั้น ถึงจะค่อยๆ ได้โอกาสลงสนามต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่นั้น แต่เรื่องของผลงานก็ดูพื้นๆ ธรรมดาๆ ไม่ได้ดูโดดเด่นหรือว่าเฉิดฉายเท่าไหร่ แต่ในฤดูกาลนี้มันกลายเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากๆ โดยเฉพาะฟอร์มการถล่มประตูที่เล่นหวดไปกระจุยถึง 18 ประตูจากการลงเล่น 46 นัด เพราะจากปกติพี่แกมีค่าเฉลี่ยซัลโวต่อปีอยู่ที่ราวๆ 5-6 ประตูเท่านั้น
เท่านั้นยังไม่พอไอ้หนู วินิซิอุส จูเนียร์ ยังทำสถิติกดไปอีก 19 แอสซิสต์รวมทุกรายการ เรียกได้ว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากกับประตูที่ เรอัล มาดริด ทำได้ในฤดูกาลนี้ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่า คาริม เบนเซม่า แต่อย่างใด นับเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดในชีวิตเส้นทางค้าแข้ง แน่นอนว่าเรื่องของความสำเร็จในปีนี้ต่อจากแชมป์ ลา ลีกา ไม่ว่าจะไปถึงฝันอีกครั้งไหมในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สำหรับไอ้หนู วินิซิอุส จูเนียร์ คู่ควรอยากมากกับการได้เครดิตและความดีความชอบ
คาริม เบนเซม่า
เคยได้โอกาสเถลิงบัลลังก์แชมป์ ลา ลีกา มาแล้ว 3 สมัยกับ เรอัล มาดริด แต่ดูเหมือนปีล่าสุดนี้มันจะมีความหมายกับชายที่ชื่อ คาริม เบนเซม่า มากที่สุด เพราะนี่คือฤดูกาลที่พี่แกได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามกับผลงานอันสุดยอด เรียกได้ว่าเป็นปีทอง เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาโลดแล่นที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่อปี 2009 เลยทีเดียว
การซัลโวไปกระจุยกระจายถึง 42 ประตูจากการลงเล่น 42 เกมในฤดูกาลนี้คือบทพิสูจน์ชั้นดีถึงความเป็นสุดยอดของ คาริม เบนเซม่า เขาคือปัจจัยสำคัญที่พา เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลีกมาครองได้โดยมีแต้มทิ้งอันดับ 2 อยู่ไกลมากๆ ถึง 17 คะแนน ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงเวลาคับขัน เมื่อทีมตกที่นั่งลำบากและต้องการประตู เราจะเห็นได้ว่า พี่เบนซ์ คนนี้นี่แหละที่คอยตัดสินเกมและช่วยสร้างความแตกต่างให้เห็นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมที่ตามหลัง เซบีย่า 2 ลูกและพลิกกลับมาชนะ 3-2
26 ประตูจาก 30 เกมที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้และยังมีโอกาสสังหารเพิ่มอีกในอีก 4 เกมที่เหลือดูแล้วตำแหน่งดาวซัลโว ลา ลีกา หรือรางวัล ปิชิชี่ อวอร์ด น่าจะไม่หลุดมือ คาริม เบนเซม่า ไปไหน และที่สำคัญไปมากกว่านั้นก็คือด้วยผลงานที่โดดเด่นเข้าตากรรมการขนาดนี้แน่นอนว่าเขาสามารถลุ้นซิง บัลลงดอร์ สมัยแรกในชีวิตได้เลย
HaMu Dos Santos